ตอนที่แล้วตอนที่ 60   อิฐก้อนนี้เพื่อแก!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 62 หนึ่งบอสชาย และสองบอสหญิง

ตอนที่ 61   เปิดร้านบะหมี่


ตอนที่ 61   เปิดร้านบะหมี่

 

ผู้แปล  :  ThreeSwords

ปรับสำนวน  :  ThreeSwords

 

 

ในห้องพักเล็กๆ ของฉินฟาง  มีคนสามคนกำลังนั่งอยู่ด้วยท่าทางอัดอั้นตันใจ

 

“ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดีล่ะ?”

 

ถังเฟยเฟยพูดหน้าเศร้า

 

“เทศกิจพวกนั้นทำเกินไปจริงๆ!  เห็นได้ชัดว่าเพ่งเล็งพวกเราเพียงเจ้าเดียว!”

 

สีหน้าของเซียวมู่เสวี่ยก็คล้ายๆ กับถังเฟยเฟยแต่หม่นหมองยิ่งกว่า  ซึ่งมันก็ช่วยไม่ได้เพราะตั้งแต่วันแรกที่เธอมาเริ่มงาน  พวกเทศกิจก็มาทำลายร้านแผงลอยซะแล้ว

 

นับตั้งแต่เทศกิจพวกนั้นโผล่มา  พวกฉินฟางก็ไม่ได้ค้าขายเลยตลอดทั้งสัปดาห์  หรือจะพูดว่าทุกวันก็ได้เพราะรถของเจ้าหน้าที่เทศกิจได้มาจอดแถวร้านแผงลอยของฉินฟางตลอด  พวกมันไม่ได้สนใจร้านแผงลอยอื่นและปล่อยให้ค้าขายได้ตามสะดวก  แต่ทันทีที่ฉินฟางปรากฏตัวขึ้น  พวกมันก็จ้องมองฉินฟางราวกับเหยี่ยว  ไม่ปล่อยให้เขาได้มีโอกาสที่จะตั้งร้านของตัวเองเลย

 

“ช่างเถอะ  จากที่เห็นธุรกิจของพวกเราคงไม่อาจดำเนินการต่อได้  นอกจากนี้มหาวิทยาลัยก็กำลังจะเปิดภาคเรียนในอีกไม่กี่วันแล้วด้วย”

 

เปรียบเทียบกับสองสาวแล้ว  ฉินฟางนั้นสงบกว่ามาก  ถึงแม้จะถูกก่อกวนตลอดทั้งสัปดาห์  ในตอนนี้วันหยุดภาคเรียนก็ใกล้ที่จะหมดลง  โชคดีที่เขาเก็บเงินได้มากพอสำหรับค่าเล่าเรียนและใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน  แต่เงินที่จะส่งกลับบ้านไปให้แม่ของเขาคงต้องรอไปก่อน

 

“ไม่มีทาง!  พวกเราไม่อาจยอมแพ้แบบนี้ได้!”

 

พอได้ยินว่าฉินฟางมีแผนที่จะยอมแพ้  ถังเฟยเฟยก็ปฏิเสธออกมาเป็นคนแรก

 

“เฟยเฟย  แล้วพวกเราจะสามารถทำอะไรได้อีกนอกจากยอมแพ้?  หรือมีที่อื่นให้พวกเราไปเริ่มขายใหม่ได้งั้นเหรอ?... ทำไมเธอไม่ลองไปถามพ่อเพื่อขอความช่วยเหลือดูล่ะ?”

 

เซียวมู่เสวี่ยมองไปยังถังเฟยเฟย  เธอเองก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้เช่นกัน  แต่มันจะทำอะไรได้อีกล่ะ  อย่างไรก็ตามจู่ๆ เธอก็นึกถึงพ่อของถังเฟยเฟย  ก็เลยอดไม่ได้ที่พูดเสริมขึ้นในประโยคสุดท้าย

 

“มู่เสวี่ย  ห้ามทำอย่างนั้นนะ!”

 

ก่อนที่ถังเฟยเฟยจะทันได้ตอบกลับ  ฉินฟางก็หน้านิ่วคิ้วขมวด  และดุใส่เซียวมู่เสวี่ยเบาๆ

 

เขาทราบตัวตนของถังเฟยเฟยมานานแล้ว  พ่อเธอเป็นหนึ่งในคนที่กุมอำนาจของเมืองหนิงไห่แห่งนี้  และเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง  การขอให้คนที่มีตำแหน่งสูงเช่นนี้จัดการกับรองหัวหน้าทีมต๊อกต๋อยคนหนึ่งเป็นเรื่องที่น่าขันเกินไป

 

นอกจากนี้ถ้าพวกเขาทำอย่างนั้นจริงๆ แล้ว  ฉินฟางก็รู้สึกอัปยศอดสู  คนอื่นอาจพูดได้ว่าเขาเป็นพวกขยะและทำตัวเหมือนกาฝากของถังเฟยเฟย

 

“แล้วจะให้พวกเราทำยังไง?”

 

หลังถูกฉินฟางดุ  เซียวมู่เสวี่ยรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย  และเริ่มที่จะบุ้ยปาก

 

“เอ่อ...”

 

ฉินฟางอับจนคำพูดทันที  ถ้าเขามีหนทาง  ก็คงไม่ปล่อยให้ตัวเองอยู่ว่างอย่างนี้แน่

 

“ฉินฟาง  มู่เสวี่ยพูดถูกแล้ว!”

 

เวลานี้เองจู่ๆ ถังเฟยเฟยก็พูดแทรก

 

“เฟยเฟย  เธอยอมที่จะไปขอให้พ่อช่วยงั้นเหรอ?”

 

เซียวมู่เสวี่ยยินดีปรีดาในทันที

 

“ไม่  เธอทำอย่างนั้นไม่ได้นะ!  ผมยอมแพ้เสียยังดีกว่า!”

 

สีหน้าของฉินฟางเปลี่ยนไป  และเขาเกือบที่จะพูดตะโกนเสียงดัง

 

“พวกคุณกำลังพูดอะไรอยู่น่ะ?!  ถ้าฉันขอให้พ่อช่วยในเรื่องเล็กแค่นี้  พ่อไม่ตีฉันตายก็แปลกไปแล้ว!”

 

ในขณะที่ถังเฟยเฟยมองไปยังฉินฟางที่โกรธจนหน้าแดง  เธอคิดว่าเขาดูน่ารักมาก  อย่างไรก็ตามพอเห็นฉินฟางกับเซียวมู่เสวี่ยจ้องเธอด้วยท่าทางตกใจแล้ว  เธอก็เริ่มอธิบายอย่างช้าๆ

 

“ฉันหมายความว่าที่เซียวมู่เสวี่ยพูดมาตอนแรกถูกแล้ว... พวกเราสามารถเปลี่ยนสถานที่เพื่อทำธุรกิจต่อไปได้!  อย่างเช่น ที่สวนกล้วยไม้!”

 

“พวกเราเปลี่ยนที่ขายได้จริงๆ น่ะเหรอ?  สวนกล้วยไม้เนี่ยนะ...”

 

เซียวมู่เสวี่ยตอบกลับด้วยท่าทีประหลาดใจ

 

“ฉันได้ยินจากลุงกับป้าว่ามีร้านแผงลอยจำนวนมากอยู่ใกล้พื้นที่มหาวิทยาลัย  แถมแข่งขันกันเอาจริงเอาจังมาก  ซึ่งถ้าไม่จำเป็นจริงๆ พวกเราก็คงไม่ต้องย้ายจากที่นี่ไปสวนกล้วยไม้หรอกนะ...”

 

ฉินฟางพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน  ตอนแรกที่เขาวางแผนเปิดร้านแผงลอย  ก็เคยขอคำแนะนำกับฟ่านเจี่ยเจีย  สวนกล้วยไม้ตั้งอยู่ในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยซึ่งรายล้อมไปด้วยร้านอาหาร ร้านขมขบเคี้ยว และหอพัก  ถือได้ว่าเป็นย่านธุรกิจที่คับคั่งที่สุดในมหาวิทยาลัย  และครอบคลุมมากกว่าสิบคณะ

 

และนั่นเป็นสาเหตุที่คนพูดกันว่า  “ตราบเท่าที่คุณสามารถค้าขายที่สวนกล้วยไม้ได้อย่างราบลื่นแล้ว  คุณก็จะไม่มีปัญหาเรื่องเงินอีกต่อไป!”

 

เจ้าของร้านแผงลอยที่ฉินฟางรู้จักส่วนใหญ่ก็มาจากสวนกล้วยไม้  พวกเขาค้าขายได้ไม่ค่อยดีตอนอยู่ที่นั่น  จึงย้ายมาตลาดประตูทิศใต้ซึ่งมีคู่แข่งน้อยกว่าทำให้ค้าขายดีขึ้น  ถึงแม้จะไม่สามารถหาเงินทองได้เป็นไหๆ  แต่ก็มีมากพอที่ให้ใช้ชีวิตได้ตามอัตภาพ

 

“พวกเขาขายไม่ดี  แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะขายไม่ดีไปด้วย!  อย่าลืมสิ  ใครที่ขายดีสุดในตลาดประตูทิศใต้?  พวกเราไง!  ร้านแผงลอยไหนที่ยุ่งจนพนักงานไม่มีแม้กระทั่งเวลาพักผ่อน?  นั่นก็พวกเรา!  ร้านแผงลอยไหนทำเงินได้มากที่สุด?  ก็ยังคงเป้นพวกเรา!  ทำไมพวกเราถึงขายดีงั้นเหรอ?  นั่นเป็นเพราะฝีมือการทำอาหารที่เก่งกาจของฉินฟาง!  ดังนั้นสวนกล้วยไม้แล้วไง?  ตราบใดที่เรายังมีฉินฟางอยู่  ย่อมขายดีได้ทุกที่!”

 

คำพูดปลุกเร้าของถังเฟยเฟยไม่เพียงทำให้ตาของเซียวมู่เสวี่ยเป้นประกาย  กระทั่งฉินฟางยังรู้สึกหวั่นไหว  อย่างไรก็ตามเขาก็รู้ว่าการตั้งร้านที่นั่นมีความยากลำบากอยู่บ้าง

 

“แต่สวนกล้วยไม้นั่นอยู่ภายใต้ความควบคุมของเทศกิจพวกนั้น...”

 

ขณะที่ฉินฟางกำลังรู้สึกตื่นตระหนกในใจ  เซียวมู่เสวี่ยก็ยกปัญหาที่ฉินฟางกำลังหนักใจอยู่ขึ้นมาพูด

 

“เธอจะกลัวอะไรกัน?  เทศกิจพวกนั้นอาจห้ามพวกเราตั้งร้านแผงลอยที่ไม่ได้รับอนุญาตได้  รอบนี้พวกเราไม่ได้จะตั้งร้านแผงลอยนะ  แต่จะเปิดเป็นร้านค้าแทน  และจะเปิดเป็นร้านบะหมี่อีกด้วย!  ลองดูกันว่าคราวนี้คนพวกนั้นจะหาเรื่องอะไรกับพวกเราได้!”

 

เห็นได้ชัดว่าถังเฟยเฟยมีแผนการแล้ว  และกำลังเผยมันออกมา

 

“เปิดร้านบะหมี่?”

 

พอได้ยินแผนของถังเฟยเฟย  ฉินฟางก็ลังเล  เหตุผลนั้นง่ายมาก  เพียงแค่สามคำ  ไม่มีเงิน!

 

ข้อได้เปรียบของการตั้งร้านแผงลอยก็คือ  มันสามารถเปิดร้านได้ทุกที่  และมีค่าใช้จ่ายเฉพาะสิ่งของที่จำเป็น  เป็นการลงทุนต่ำแต่ผลตอบแทนสูง  แต่การเปิดภัตตาคารขายบะหมี่นั้นต่างออกไป  การดำเนินกิจการจำเป็นต้องใช้เงินสำหรับค่าเช่าร้าน ค่าสาธารณูปโภค ค่าใบอนุญาต ค่าใบรับรองความถูกสุขลักษณะ และสิ่งยุ่งยากอื่นๆ  ที่สำคัญมากสุดคือมหาวิทยาลัยใกล้ที่จะเปิดเรียนแล้ว  เวลาว่างที่พวกเขาสามารถเปิดร้านได้มีจำกัด

 

“ไม่ต้องกังวลนะฉินฟาง  ฉันจะขอให้เสี่ยวหนิงเจียช่วย  ด้วยความช่วยเหลือของเธอ  งานเอกสารจะต้องดำเนินไปอย่างรวดเร็วและไม่เสียค่าใช้จ่ายมาก  อย่างเดียวที่เหลือก็คือค่าเช่าร้านที่ต้องจ่ายเยอะ  แต่นายสามารถใช้กำไรที่พวกเราหาได้เดือนนี้ในส่วนของฉันจ่ายได้  นายเป็นหัวหน้าใหญ่และพ่อครัวหลักของร้าน  ส่วนฉันเป็นรองหัวหน้าและสาวเสิร์ฟ  ด้วยฝีมือของนาย  ฉันเชื่อว่าทันทีที่พวกเราเปิดร้าน  กำไรที่ได้ต้องพุ่งกระฉูด  ภายในไม่กี่วันจะต้องได้เงินที่ลงทุนไปกลับคืนมา!  หรือนายไม่มั่นใจในฝีมือของตัวเอง?”

 

ถังเฟยเฟยเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมาก  เธอรู้ว่าฉินฟางกำลังหนักใจ  แต่ก็ไม่ต้องการให้ฉินฟางยอมแพ้ไปแบบนี้  จึงรีบคิดหาหนทางแก้ไขที่เหมาะสมเพื่อแก้ปัญหาทั้งหมด

 

“ถูกแล้ว!  ฉันด้วย  นับฉันเข้าไปด้วย!”

 

เมื่อได้ยินแผนของถังเฟยเฟย  ดวงตาของเซียวมู่เสวี่ยก็เฉิดฉาย  พอเห็นว่าถังเฟยเฟยจงใจไม่นับเธอรวมเข้าไป  เธอก็เสนอตัวขอเข้าร่วมในทันที

 

“ตอนนี้ฉันมีเงินหนึ่งหมื่นหยวนที่ได้จากวันที่นายช่วยฉันไว้  ที่ถูกต้องเงินนี่ควรต้องเป็นของนาย  แต่ในเมื่อนายให้ฉันแล้ว  ฉันก็จะใช้มันลงทุนกับนาย  นั่นยอมรับได้ใช่มั้ย?”

 

“แน่นอน!  ในเมื่อพวกเราได้เงินนั่นมาฟรีๆ  เอามาลงทุนก็ยิ่งดี!”

 

ถึงแม้ถังเฟยเฟยจะรู้สึกไม่ยินดีเล็กน้อยที่เซียวมู่เสวี่ยพยายามแทรกตัวเข้ามา  แต่มันก็เป็นเรื่องดีที่นำเงินนั่นมาใช้กับร้านอาหาร

 

“ใช่ ใช่!”

 

มีใครบางคนเคยพูดเอาไว้ว่า  เมื่อใดที่หญิงสาวคนหนึ่งต้องการจะพูดชักจูงคุณก็เหมือนกับเป็ดห้าร้อยตัวกำลังส่งเสียงร้อง  และตรงหน้าของฉินฟางก็มีหญิงสาวสองคนกำลังพูดชักจูงเขาอย่างต่อเนื่อง  กระทั่งร่วมมือกัน  พูดคล้องจองสอดประสานกัน  จนฉินฟางรู้สึกเหมือนกับเป็ดพันตัวกำลังส่งเสียงร้องอยู่ข้างหูเขาจริงๆ

 

“โอเค!  พวกเธอพูดถูกแล้ว  พอใจหรือยัง?!”

 

เพราะไม่อาจทนรับการกระหน่ำเข้ามาของสองสาวอย่างต่อเนื่องได้  ฉินฟางจึงยอมยกธงขาวอย่างช่วยไม่ได้  ถึงแม้ตอนแรกเขาจะยกนิ้วให้กับแผนของถังเฟยเฟยเช่นกัน  แต่ก็ไม่อยากลงมือทำด้วยปัญหาทางด้านการเงิน

 

อย่างไรก็ตามด้วยการจัดแจงของถังเฟยเฟย  ปัญหาทั้งหมดที่เขาคิดว่าจะผ่านไปไม่ได้ล้วนถูกแก้ไข  ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายค้ำคอแล้ว  เขาอาจจะใช้กางเกงในสีขาวของตัวเองมาทำเป็นธงขาว  และยินยอมทำตามแผนทันทีที่เรื่องนี้ถูกเอ่ยถึง

 

การเลื่อนตำแหน่งจากเจ้าของร้านแผงลอยมาเป็นร้านอาหารในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน  ในเรื่องสถานะของฉินฟางที่มีการเปลี่ยนแปลง  เขาอาจจะต้องขอบคุณเจ้าอ้วนรองหัวหน้าในเรื่องนี้

 

ถึงแม้ในเวลานี้เจ้าอ้วนนั่นกำลังถือถุงน้ำแข้งประคบศีรษะตัวเองไว้  โดยที่ตัวฉินฟางเองไม่รู้ว่าอิฐก้อนนั้นเมื่อใช้ร่วมกับทักษะ [ขว้าง] แล้วจะทำให้ความเจ็บปวดยาวนานขึ้นอย่างไม่คาดคิด...

 

 

……………………………..

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด