ตอนที่แล้วตอนที่ 04   ราเม็งแสนอร่อย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 06   การค้าเฟื่องฟู

ตอนที่ 05   แผนการทำเงิน


ตอนที่ 05   แผนการทำเงิน

 

ผู้แปล  :  ThreeSwords

ปรับสำนวน  :  ThreeSwords

 

 

*ปั๊บ  ปั๊บ  ปั๊บ* (เสียงของการทำเส้นบะหมี่)

 

เห็นได้ชัดว่าฉินฟางไม่ได้เอาคำชมเชยของถังเฟยเฟยมาใส่ใจ  ราเม็งชามนั้นเป็นชามแรกที่เขาทำและบางทีมันอาจจะเป็นเพราะถังเฟยเฟยทนหิวมาสักพักแล้ว  นั่นเป็นเหตุผลว่าตราบใดที่มันไม่ได้เลวร้ายเกินไป  ทุกอย่างก็สามารถอร่อยมากได้เช่นกัน

 

ฉินฟางเริ่มเคลื่อนไหวมือของเขาด้วยท่าทางที่นิ่มนวลอีกครั้ง  จนแป้งโดว์เส้นหนาในมือของเขาก็กลายเป็นเส้นบะหมี่อันสวยงาม  จากนั้นเขาก็โยนก้อนบะหมี่ที่ทำขึ้นลงในน้ำซุปที่ถูกต้มจนร้อน  และอีกไม่นานราเม็งที่ทำเสร็จใหม่ๆ อีกหนึ่งชามก็พร้อมให้บริการ

 

“ฉินฟาง  ราเม็งที่นายทำอร่อยจริงๆ นะ  รสชาติดีกว่าร้านขายราเม็งทั่วไปที่ตั้งอยู่ข้าวนอกนั้น!  ถ้านายทำราเม็งของตัวเองออกขาย  การค้าก็น่าจะดีมากแน่ๆ ...”

 

ถังเฟยเฟยเยินยอขณะที่เธอกำลังกินราเม็งชามนั้นเข้าไปอย่างรวดเร็ว

 

ฉินฟางยิ้มอย่างใจเย็นแต่รอยยิ้มของเขาก็แข็งทื่ออย่างรวดเร็ว  เพราะทันใดนั้นเขาก็คิดอะไรบางอย่างได้  เขารีบหยิบเส้นแป้งโดว์อีกก้อนออกมาและพลิกมันไปมาอย่างรวดเร็ว  ไม่นานจากนั้นราเม็งอีกชามก็พร้อมเสิร์ฟ

 

ชามนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีไว้สำหรับถังเฟยเฟย  ต่อให้เธอมีความอยากอาหารมากขนาดไหนหรือแม้กระทั่งตอนที่หิวจัด  ราเม็งสองชามใหญ่ก็ถึงขีดจำกัดของเธอแล้ว  ชามนี้จึงทำขึ้นมาสำหรับตัวเองเพราะเขายังไม่เคยลองเลยว่าราเม็งที่ทำมีรสชาติแบบไหนจนกระทั่งถึงตอนนี้

 

*ซร๊วบ~*

 

ขณะที่ค่อยๆ คีบดูดเส้นบะหมี่เข้าไปเต็มคำ  ในปากของเขาก็รู้สึกถึงความหยุ่นเด้งอย่างที่สุดไหลเข้าไปทันทีหลังจากที่ลองเคี้ยวมันอยู่สักพัก  เส้นบะหมี่เข้าไปในปากเขาอย่างไหลลื่นอีกทั้งยังมีรสสัมผัสที่ยืดหยุ่น  และเมื่อรวมกับน้ำซุปก็ยิ่งทำให้ราเม็งชามนี้มีรสชาติค่อนข้างดีเลยทีเดียว  ถ้าได้เข้าคู่กับเครื่องปรุงรสที่ดีกว่านี้เล็กน้อย  แน่นอนว่ารสชาติของมันจะไม่ใช่อร่อยแบบทั่วไป  แต่ราเม็งที่ทำขึ้นมานี้น่าจะดีกว่าหลินโจวราเม็งที่มีชื่อเสียงระดับประเทศเป็นแน่

 

ขณะที่ฉินฟางกำลังตกตะลึงเกี่ยวกับราเม็งที่เขาทำนั้นอร่อยเกินความคาดหมายไปได้ยังไง  ถังเฟยเฟยก็ได้จัดการราเม็งชามที่สองจนหมด  และพอเห็นสีหน้าตกใจของฉินฟางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

 

“เป็นอะไรไป?  ตอนนี้นายเชื่อฉันแล้วใช่ไหม?  ฉันไม่เชื่อที่นายกำลังแสดงอยู่หรอกนะ  ทำราวกับว่านายเพิ่งเคยลองชิมราเม็งของตัวเองเป็นครั้งแรกงั้นแหละ”

 

“ฮะฮะ  ผมก็แค่หิวมากไปน่ะ”

 

ฉินฟางไม่ได้พูดอะไรที่จะแก้ความเข้าใจผิดของถังเฟยเฟย  ความสัมพันธ์ของเขากับถังเฟยเฟยแม้ว่าอาจจะดีแต่ก็ไม่ได้ลึกซึ้งถึงขนาดบอกได้ทุกเรื่องแบบนั้น  แต่หลังจากลังเลอยู่สักพักเขาก็ถามไปว่า

 

“ถังเฟยเฟย  ถ้าผมตั้งแผงลอยขายราเม็ง  มันจะขายได้จริงๆ หรือเปล่า?”

 

ถังเฟยเฟยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย  ดวงตากลมโตอันสวยงามของเธอเบิกกว้างเพราะแปลกใจกับคำถามของฉินฟาง  ต่อมาเธอมองไปที่ตาของฉินฟางและถามด้วยความไม่แน่ใจว่า

 

“เอ่ออ... นายกำลังล้อฉันเล่นอยู่ใช่มั้ย?”

 

สิ่งที่เธอพูดเกี่ยวกับการขายราเม็งในตอนนั้นมีความหมายเพียงแค่จะชื่นชมราเม็งของฉินฟาง  และเธอไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นจริงๆ

 

“เอ๋  ผมจริงจังนะ”

 

แต่ฉินฟางพูดอย่างเคร่งขรึมพลางผงกหัว

 

ตอนที่เขาออกไปทำอาหารก็สังเกตเห็นคอมฯ เครื่องนั้น  ราวกับว่ามันถูกฟ้าผ่าใส่เพราะไหม้จนเหลือแต่เถ้าถ่าน  เป็นเศษขยะอย่างแท้จริงในตอนนี้  ด้วยเงินที่มีอยู่ในมือการซื้อคอมพิวเตอร์อีกเครื่องนั้นน่าจะเพียงพอ  แต่ถ้าเขาทำอย่างนั้นแล้ว  ต่อให้ทำงานจนได้รับเงินครบตามสัญญาก็จะมีเงินไม่พอสำหรับแผนของเขา

 

ในทางตรงกันข้ามความเสี่ยงในการหาเงินโดยการขายราเม็งน้อยกว่ามาก  เครื่องปรุงรสทั่วไปเช่น น้ำมัน เกลือ ซอสถั่วเหลืองและน้ำส้มสายชูไม่ได้แพงมาก  แป้งทำอาหารก็เช่นกัน  และสำหรับบะหมี่ทุกชามที่เขาขายได้ก็จะเก็บเกี่ยวผลกำไรก้อนโต  ฉินฟางเชื่อว่าถ้าเขาทำงานให้หนักขึ้นเล็กน้อยก็จะบรรลุเป้าหมายได้อย่างแน่นอน

 

(TL Note : เป้าหมายของฉินฟางก็คือการหาเงินให้มากพอที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนด้วยตัวเขาเอง)

 

“เรื่องนี้... ฉันคิดว่ามันอร่อยจริงๆ  ดังนั้นยอดขายก็น่าจะค่อนข้างดี”

 

พอเห็นสีหน้าเอาจริงเอาจังของฉินฟางประกอบกับความจริงที่เธอได้รับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเงินของครอบครัวฉินฟาง  เธอจึงทราบว่าเขาไม่ได้พูดเล่น  ซึ่งหลังจากทำการคิดอย่างเคร่งเครียดอยู่สักพักเธอก็พูดสรุปออกมาว่าการขายราเม็งนั้นเป็นไปได้

 

“แต่ถ้านายต้องการที่จะตั้งแผงลอย  ก็ควรจะเลือกหาทำเลที่ดี  เพราะถ้าเป็นจุดที่ไม่มีคนเดินผ่าน  ไม่ว่าราเม็งของนายจะอร่อยแค่ไหน  การค้าก็คงจะแย่มาก”

 

ตั้งแต่ที่เธอรับรู้ถึงความยากลำบากของฉินฟาง  ในฐานะที่เป็นทั้งเพื่อนและเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา  เธอจึงรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ในการช่วยคิดหาหนทาง

 

“น่าเสียดายที่ว่า.... ตอนนี้เป็นช่วงวันหยุดหน้าร้อน  ไม่งั้นก็น่าจะขายราเม็งให้พวกเด็กนักเรียนได้ด้วย...”

 

ฉินฟางพยักหน้า  สถานที่แรกซึ่งเขาคิดไว้คือโรงเรียนเก่าของเขา  โรงเรียนมัธยมหมายเลขสามที่มีโรงเรียนมัธยมกับประถมอื่นๆ อยู่รายล้อม  ที่นั่นมีร้านแผงลอยตั้งอยู่เป็นจำนวนมากและการค้าค่อนข้างดี  แต่ตอนนี้เป็นช่วงวันหยุดหน้าร้อนซึ่งนั่นก็หมายความว่าเป็นช่วงที่การค้าซบเซาด้วยเช่นกัน  และร้านค้าจะกลับมาค้าขายดีขึ้นเมื่อโรงเรียนเปิดเทอมอีกครั้ง  แต่เห็นได้ชัดว่าฉินฟางไม่สามารถรอจนกระทั่งถึงตอนนั้นได้

 

“ระหว่างช่วงวันหยุดหน้าร้อนแน่นอนว่าค้าขายไม่ค่อยดี  แต่ถ้าเป็นที่มหาวิทยาลัยมันก็อาจจะดีขึ้น...”

 

ถังเฟยเฟยโคลงหัวและกล่าวต่อไปเรื่อยๆ  แต่จู่ๆ ดวงตาของเธอก็ส่องประกายและพูดออกมาว่า

 

“ใช่แล้ว!  ฉันรู้จักสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งรับรองว่าการค้าขายน่าจะดีแน่ๆ !”

 

“ที่ไหนเหรอ?”

 

ฉินฟางตกใจไปชั่วขณะและถามเธอกลับอย่างรีบเร่ง  แต่เพราะว่ามันเร่งรีบดังนั้นเขาจึงทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมโดยการไปคว้าจับมือที่เล็กและอ่อนนุ่มของถังเฟยเฟย

 

“หน้าประตูทางเข้าถนนใหญ่ทางด้านทิศใต้!  ที่นั่นอยู่ติดกับตลาดและก็มีมหาวิทยาลัยอยู่รอบๆ อีกด้วย  ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากสัญจรผ่านไปมา  แต่สถานที่กินมีน้อยมาก  ตราบเท่าที่นายหาจุดเหมาะๆ ในการเปิดร้านก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องค้าขายไม่ได้    ”

 

ถังเฟยเฟยไม่ได้สังเกตว่าฉินฟางกำลังกุมมือของเธออยู่และก็พูดต่อไปอย่างตื่นเต้น  ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังเป็นเด็กนักเรียนและไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจมากนัก  ดังนั้นเมื่อค้นพบหนทางที่ดีขนาดนี้จึงเป็นธรรมดาที่เธอจะตื่นเต้น  จนทำให้หลงลืมเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ

 

“ใช่แล้ว  ทำไมผมคิดไม่ถึงนะ?”

 

ดวงตาของฉินฟางสว่างสดใสเมื่อได้ยินคำแนะนำของถังเฟยเฟย  และเขาก็เลยจำได้ว่าฟ่านเจี่ยเจียเคยบ่นเกี่ยวกับเรื่องที่ร้านแผงลอยขายอาหารมีน้อยด้วยเช่นกัน

 

ฟ่านเจี่ยเจียมีแผงขายส่งตรงประตูถนนใหญ่ทางด้านทิศใต้  แต่ที่นั่นไม่มีร้านที่เธอจะไปฝากท้องได้เลย  ดังนั้นเธอเลยไม่มีทางเลือกที่จะต้องทำอาหารกลางวันเตรียมไว้ล่วงหน้าหรือไม่ก็กลับมาทำกินเองที่บ้าน  อย่างไรก็ตามมันก็ค่อนข้างลำบากมาก  เพราะเหตุนี้ในบางครั้งเธอเลยไม่มีเวลาที่จะไปหาซื้อผักต่างๆ  และต้องไปขอแบ่งบางส่วนมาจากฉินฟาง  และทุกครั้งเธอก็จะบ่นให้ฉินฟางฟังเกี่ยวกับเรื่องความไม่สะดวกนี้

 

“ถ้านายจะตั้งร้านแผงลอยที่นี่  ส่วนผสมน่าจะหาได้ง่ายแต่นายก็ยังจำเป็นต้องมีเก้าอี้กับโต๊ะและ...”

 

บางทีอาจเป็นเพราะถังเฟยเฟยมีพรสวรรค์ทางด้านธุรกิจจริงๆ  หลังจากที่เธอจัดระเบียบความคิดก็ยกปัญหาใหม่ขึ้นมาทันที

 

ในขณะเดียวกันนั้นเธอก็พบว่ามือของตัวเองถูกฉินฟางกุมไว้  ใบหน้าที่ขาวสะอาดราวหิมะของเธอก็แดงเปล่งปลั่ง  แล้วก็ทำการแงะมือตัวเองออกมาจากของฉินฟางหลังจากทำการดิ้นรนเล็กน้อย

 

“โอ้  โทษทีนะ”

 

ตอนแรกฉินฟางรู้สึกมึนงง  แต่หลังจากสังเกตเห็นที่เขาทำก็หน้าแดงและกล่าวขอโทษอย่างเก้อเขิน

 

“เอาล่ะ  มาคุยเกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญมากก่อนเถอะ  เพราะถ้าปัญหาเกี่ยวกับโต๊ะและเก้าอี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข  มันก็อาจจะส่งผลกระทบได้...”

 

พอเห็นท่าทางประหม่าและเขินอายของฉินฟาง  ทันใดนั้นหัวใจของถังเฟยเฟยก็รู้สึกอบอุ่น  แทนที่จะตำหนิฉินฟางก็กลายเป็นใจกว้างไม่ได้เอาเรื่องเอาราวอะไรอีก  และเริ่มการคุยเกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญ

 

“นั่นไม่ใช่เรื่องยาก  ผมสามารถแก้ไขมันด้วยตัวเองได้...”

 

ฉินฟางครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ  ในไม่ช้าเขาก็นึกหาหนทางขึ้นได้

 

ตรงที่ฉินฟางอาศัยอยู่นั้นมีผู้คนมาจากทั่วสารทิศ  เขาจำได้ว่ามีบางคนได้ตั้งร้านแผงลอยอยู่บริเวณใกล้เคียงกับร้านขายอาหารว่าง  อย่างไรก็ตามที่บ้านเกิดของคนผู้นั้นถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวอะไรบางอย่างดังนั้นก็เลยรีบกลับไปบ้าน  ทิ้งแผงลอยเล็กๆ กับเก้าอี้และโต๊ะบางส่วนไว้ในห้องเก็บของ  เจ้าของบ้านเช่าค่อนข้างดูแลเอาใจใส่ฉินฟางดี  เพราะฉะนั้นถ้าเขาขอร้องแล้วการขอยืมสิ่งของเหล่านั้นก็ไม่น่าจะใช่ปัญหา

 

ถึงจุดนี้ปัญหาส่วนใหญ่ก็ได้รับการแก้ไข  ฉินฟางเพียงแค่จำเป็นต้องนำเงินบางส่วนจากกระเป๋าตังค์ของตัวเองซื้อชาม เครื่องไม้เครื่องมือ เตาแก๊ส ฯลฯ  ตราบเท่าที่ธุรกิจไม่เลวร้ายจนย่อยยับแล้วการทำเงินก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป

 

 

-----------------------------------

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด