ตอนที่แล้วบทที่ 7 เหยียจะรอเจ้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 9 การหลอมสร้าง

บทที่ 8 ความเปลี่ยนแปลง


มือเรียวงามบอบบาง ทั้งขาวนวลราวกับหยก คีบชิ้นกระดาษสีชมพูขึ้นอย่างนุ่มนวล

“ฮ่าฮ่าๆ ดูท่ามันต้องจ่ายค่าตอบแทบไม่น้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันสมควรอารมณ์เสียอย่างยิ่ง ฮึ ข้าเพียงต้องการขู่ขวัญเจ้า  ผู้ใดเรียกให้เจ้าอวดดี ทั้งพยายามต่อต้านกันเล่า?”

เจ้าของวาจามีใบหน้ารูปไข่ ผิวพรรณเรียบลื่น ขาวผ่องนวลเนียนดุจเนื้อกระเบื้องเคลือบ ดวงตาสีครามประหนึ่งไพลิน เผยให้เห็นร่องรอยของความซุกซน รับกับสันจมูกโด่งงาม กับริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงสด นางสวมเสื้อตัวสั้น กับกางเกงขาสั้นสีเงินยวงที่ทำจากขนแกะจันทร์เงิน ส่งให้นางดูหรูหรา ทั้งน่ารักน่าเอ็นดู นางเปิดเผยหน้าท้องอย่างกล้าหาญ ท่อนขาเรียวยาวรับกับสองเท้าเปล่าเปลือย เต็มไปด้วยพลังแห่งวัยสาว นางดูราวกับปฏิมากรรมสมบูรณ์แบบที่แกะสลักจากงาช้าง งดงามไร้ตำหนิ ผูกรวบผมด้วยเส้นเชือกสีแดงสดใส เพิ่มพูนกลิ่นอายเสน่ห์อันรัดรึงใจชนิดหนึ่ง สองมือสวมกำไลข้อมือสีฟ้าครามคู่หนึ่ง ห้อยเต็มไปด้วยกระดิ่งเล็ก ๆ ดังนั้นแต่ละการเคลื่อนไหวของนาง จึงตามมาด้วยเสียงกระดิ่งอันสดใส

“แต่ช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริง ๆ”

“ผู้คนที่เจ้าเห็นว่าน่าสนใจ ย่อมต้องน่าสนใจอย่างแท้จริง” สุ้มเสียงแฝงความนอบน้อมดังจากเบื้องหลังนาง

เจ้าของวาจาเป็นผู้ฝึกตนผิวสีทองแดงผู้หนึ่ง มันสวมมงกุฎไม้จันทน์บนศีรษะ ดูภายนอกอายุราวสี่สิบกว่าปี หากมีผู้ใดพบเห็นบุรุษนี้ พวกมันย่อมแตกตื่นไม่น้อย ไฉนชื่อเหย่เจินเหรินผู้โด่งดัง จึงให้ความเคารพต่อดรุณีน้อยนางหนึ่งกันเล่า

(ปรมาจารย์ป่าแดง – เป็นคนเดียวกับเจ้าของเรือบินในตอนที่สอง)

ดรุณีนั้นคล้ายจะล่วงรู้แต่แรก ว่ามีผู้คนอยู่เบื้องหลังนาง จึงมิได้มีท่าทีแปลกใจอันใด นางหัวร่อคิกคัก “ใช่แล้ว ใช่แล้ว เป็นบุคคลอันน่าสนใจยิ่ง พลังฝึกตนของมันยังไม่ถึงด่านจู้จีขั้นกลางด้วยซ้ำ แต่มันสามารถต่อสู้กับ[คำสาปหัวใจปิศาจ] ที่เซียนเอ๋อร์ใช้ถึงพลังยี่สิบในร้อยส่วนได้ ช่างเข้มแข็งอย่างแท้จริง”

(เซียน- คำเดียวกับเทพเซียนที่เราคุ้นเคยกัน ก็แปลว่า เซียน หรือเทพ หรือนางเซียนนั่นเอง ส่วนเอ๋อร์แปลว่าหนู ก็คือหนูเซียน น่าจะใช้เป็นชื่อเล่นด้วย)

“โอ้” ชื่อเหย่เจินเหรินสีหน้าเปลี่ยนไป “นับเป็นหยกดิบชั้นดีไม่น้อย” จากนั้นมันก็รำพึง “ทำเยี่ยงไรจึงจะชักนำมันเข้าสู่สำนักได้...”

เซียนเอ๋อร์หันหน้าไปทางหน้าต่าง ดวงตานางทั้งลึกล้ำ และห่างไกล “ท่านย่อมทราบ บนหนทางของการฝึกตน นอกเหนือจากพรสวรรค์แต่กำเนิด ความโชคดีก็สำคัญยิ่ง เหล่าศิษย์ในสำนักเรา มากมายหลายพันคน ผู้ใดไม่ได้มีพรสวรรค์แต่กำเนิด แต่มิต้องกล่าวถึงมหาวิถีแล้ว กระทั่งแค่ด่านจินตัน มีกี่คนที่สามารถบรรลุถึง?”

จากนั้นนางพลันเดาะลิ้น กล่าวอย่างซุกซน “แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มิสู้ให้มันอยู่เป็นเพื่อนแก้เบื่อให้เซียนเอ๋อร์เถอะ”

ชื่อเหย่เจินเหรินหัวร่อเบา ๆ น้ำเสียงมีร่องรอยของการตามใจ “แล้วแต่เจ้าต้องการเถอะ แต่ในเมื่อเจ้าถูกอกถูกใจมัน เหตุใดเราไม่พักที่นี่อีกสักสองสามวันเล่า?”

เซียนเอ๋อร์เอียงคอ กระพริบดวงตาสีฟ้าคราม นางขบคิดแล้วส่ายหน้า “ภารกิจนี้สำคัญยิ่ง เราพักอยู่ที่นี่นานพอแล้ว ฮ่าฮ่า อีกอย่างเซียนเอ๋อร์ทิ้งรอยประทับวิญญาณไว้บนร่างมัน มันย่อมไม่มีวันหนีพ้นเงื้อมมือเซียนเอ๋อร์ได้”

ชื่อเหย่เจินเหรินมองเซียนเอ๋อร์ที่ดูน่ารัก ไร้เดียงสา มันอดไม่ได้ต้องส่งเสียงหัวร่อดังกระหึ่ม

———

จั่วม่อตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ ร่างกายของมันเจ็บระบม จนต้องครวญครางออกมาอย่างช่วยไม่ได้

หวนนึกถึงเมื่อวาน คลับคล้ายความฝันตื่นหนึ่ง แต่บาดแผลที่ปกคลุมไปทั่วร่างมัน ช่วยย้ำเตือนอีกครั้ง ว่าการต่อสู้อันดุเดือดนั้นมิใช่ความฝัน กระทั่งถึงตอนนี้มันก็ยังไม่อยากจะเชื่อ ว่ามันสามารถสยบพลังปราณเย็นนั้นลงได้ มันรู้เพียงว่ามีช่วงเวลาหนึ่งที่สติมันเลอะเลือนหายไป และช่วงเวลานั้นเองที่มันกลับเป็นฝ่ายชนะ

แต่ที่แท้เกิดสิ่งใดขึ้นในช่วงเวลานั้น?

มันไม่ทราบอันใดเลย

หลังจากค้นหาในใจและไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ มันนึกอะไรไม่ออกเลย จึงผลักปัญหาออกไปจากใจ ไม่ว่าอีกฝ่ายคิดจะแก้แค้นหรือไม่ จั่วม่อคร้านจะเสียเวลาครุ่นคิดถึงมัน

เกองานยุ่งมาก!

มันยกนิ้วมือขึ้นมานับเรียง และทราบว่ามีสิ่งที่ต้องทำมากมายในวันนี้ ไม่นับการเสกเรียกฝนที่สวนยาปราณ มันยังต้องเสกเรียกฝนให้ศิษย์พี่ผู้หนึ่ง นั่นเป็นทุ่งนาปราณขนาดหนึ่งร้อยหมู่

สำหรับต้นสมุนไพรปราณในสวนยา ยามต้องเจ็บหนักเช่นนี้ มันย่อมไม่กังวลสนใจว่าจะงอกงามดีหรือไม่ แต่สำหรับทุ่งนาปราณร้อยหมู่ ที่มันต้องเสกเรียกฝนให้ ได้ทำสัญญาเอาไว้นานแล้ว ไม่สามารถหลบหน้าได้

กัดฟันลุกขึ้นยืน จั่วม่อรู้สึกเหมือนกระดูกทั่วร่างพร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ

จะอย่างไร มันยังคงมุ่งหน้าไปหุบเขาหมอกเย็นเยือกด้วยความเร็วประดุจเต่า ชะโงกมองสวนยาจากด้านบนหุบเขา มันได้แต่ก่นด่าสาปแช่งคู่หญิงร้ายชายโฉด ห่าวหมิ่นกับหลัวหลี นับครั้งไม่ถ้วน

สาปแช่งก็ส่วนสาปแช่ง แต่มันยังต้องลงมือทำงานอยู่ดี

มันเริ่มร่ายเคล็ดเมฆฝนหล่นรินดังเช่นปกติ แต่เหตุการณ์ที่เกิดถัดมา กลับทำให้จั่วม่อต้องอ้าปากค้าง

หมอกขาวพากันถาโถมเข้าหามันอย่างบ้าคลั่ง ภายในชั่วพริบตาเดียว ก็ก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนเมฆ และก่อนที่จั่วม่อจะสามารถตอบสนองจากอาการมึนงง ก้อนเมฆก็กระจายไปอย่างรวดเร็ว ชั่วไม่กี่อึดใจก็ปกคลุมไปทั่วทั้งหุบเขา

ภายใต้ความสับสน จั่วม่อเขยกมาถึงตรงใจกลางของกลุ่มเมฆอย่างมึนงง เส้นสายของพลังฉ่ำเย็นไหลผ่านมือของมัน อย่างกับความฝัน

มันสะท้านขึ้นทั้งร่าง และรู้สึกตัวในที่สุด นี่ไม่ใช่ขั้นที่สามของเคล็ดเมฆฝนหล่นริน!

สีหน้ามันแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง

เกิดเรื่องอันใดขึ้น? มันบังเกิดข้อสงสัยอย่างกะทันหัน หรือว่าพลังปราณเย็นเยือกขุมเมื่อวาน จะเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างไป มันรีบสงบใจ หลับตา แล้วยื่นแขนขึ้นไปยังใจกลางก้อนเมฆ

จั่วม่อค้นพบเรื่องราวอันพิสดารอย่างรวดเร็ว ก้อนเมฆสร้างขึ้นจากกระแสความชุ่มชื้น ที่มีชีวิตชีวาเป็นพิเศษจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันคล้ายฝูงสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา

ก้อนเมฆในคราวนี้ เต็มไปด้วยพลังงานพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น มันประหนึ่งหญ้าเขียวเพิ่งผลิบาน คล้ายดวงตะวันสาดแสงเฉิดฉาย จั่วม่อพบว่ามันยากจะอธิบาย แต่มันชอบพลังปราณนี้มาก เพราะเจ้าสิ่งนี้ช่างสะดวกสบายยิ่งนัก

มันรู้สึกเบิกบานใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

จั่วม่อเพาะปลูกข้าวปราณมาสองปี แม้มันไม่ทราบว่าพลังงานอันเต็มไปด้วยชีวิตชีวานี้คือสิ่งใด แต่มันแน่ใจว่าเป็นประโยชน์ ต่อการเจริญงอกงามของพืชปราณอย่างแน่นอน

จั่วม่อสั่งการผ่านจิต แล้วเมฆก็กลั่นตัวเป็นหยาดฝน

ท่ามกลางสายฝนโปรย ที่ดูราวกับเส้นด้ายสีเงินเหลือคนานับ พลังงานอันเปี่ยมชีวิตชีวาในเม็ดฝน ถึงกับหนาแน่นยิ่งกว่าที่มีอยู่ในความชุ่มชื้นของกลุ่มเมฆเสียอีก

มันไม่ทราบว่ามันเพียงเข้าใจผิดไปเองหรือไม่ แต่มันเห็นสมุนไพรปราณบางต้นคลี่คลายใบแผ่กว้าง ราวกับว่าพวกมันสุขสำราญยิ่ง

ภาพหลอน?

หากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ราวกับเป็นความฝัน สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ก็เป็นยิ่งกว่าความฝันแล้ว

นี่ใช่ขั้นที่สี่ของเคล็ดเมฆฝนหล่นรินหรือไม่? ตัวมันเองก็ไม่แน่ใจ ม้วนคัมภีร์หยกที่มันซื้อมาเพียงกล่าวถึงเคล็ดเมฆฝนหล่นรินขั้นที่สาม มีรายละเอียดหลายประการที่มันไม่เคยเข้าถึง ดังนั้นจึงมักอิจฉาเหล่าศิษย์สำนักใหญ่ เพราะไม่ว่าจะเป็นเวทวิชาอันใด เมื่อบรรลุถึงระดับใดระดับหนึ่งแล้ว ล้วนต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัวในการทำความเข้าใจ แต่หากสามารถเรียนรู้ และอ้างอิงจากประสบการณ์ของคนรุ่นก่อน ย่อมสามารถลดความยุ่งยากไปได้มากหลาย

จั่วม่อไม่เคยมีใครให้ถามไถ่ มิต้องกล่าวถึงเจ้าสำนัก หรือเหล่าอาจารย์อา กระทั่งบรรดาศิษย์พี่ฝ่ายใน ยังไม่ง่ายที่จะขอความช่วยเหลือจากพวกมัน อีกทั้งมันยังสงสัยว่าจะมีศิษย์พี่ผู้ใด ยอมทุ่มเทความพยายามในเวทวิชาระดับต่ำที่ไม่ใช่เวทวิชาสายต่อสู้ เช่นเคล็ดเมฆฝนหล่นรินนี้

สำนักกระบี่สุญตาเป็นสำนักฝึกฝนกระบี่ แน่นอนว่าย่อมประกอบด้วยเหล่าเซียนกระบี่เป็นหลัก หากมิใช่ว่าพวกมันยังต้องการข้าวปราณ พวกมันจะไม่รับเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกเช่นจั่วม่อ ควรทราบว่าในหมู่ผู้ฝึกตนทั้งมวล เซียนกระบี่ขึ้นชื่อในเรื่องพลังโจมตีอันเฉียบขาด พวกมันจะฝึกฝนเฉพาะเคล็ดวิชากระบี่เท่านั้น เนื่องเพราะพวกมันล้วนเชื่อว่า เพียงกระบี่เล่มเดียวสามารถพิชิตทุกอย่าง

เบญจธาตุประกอบด้วยระบบเฉพาะในตัวเอง ยากที่จะร่ำเรียนพวกมัน ผู้คนส่วนใหญ่ที่ฝึกฝนเวทวิชาสายเบญจธาตุ คือเหล่าเซียนสัญจร ดังนั้นบรรดาเซียนสัญจร ส่วนใหญ่ยังเป็นผู้เพาะปลูกพืชปราณ

หลังจากเสร็จสิ้นการเรียกฝนในสวนยา จั่วม่อเดินทางไปพบศิษย์พี่ ผู้ที่มันมีสัญญาด้วย

เมื่อต้องเสกเรียกฝนถึงสองครั้งสองคราติดต่อกัน จั่วม่อผู้บาดเจ็บปางตายอยู่แล้ว ก็ถึงกับซวนเซ ร้อนถึงศิษย์พี่ที่มันทำงานให้ ต้องรีบนำมันกลับไปพักผ่อน

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจทั้งหมดสำหรับวันนี้ จั่วม่อเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ แต่ยังคงยืนหยัดในการนั่งเข้าฌานหลังจากกลับมาถึงบ้าน ประสบการณ์อันขมขื่นเมื่อวันวาน ทำให้มันเข้าใจลึกซึ้งถึงความเป็นจริง ในสายตาของยอดฝีมือระดับสูง เหล่าผู้ฝึกตนชั้นต่ำเยี่ยงมัน มิได้ต่างอันใดกับเศษหญ้าฟาง

มิทราบเป็นเพราะว่าร่างกายของมัน ต้องการฟื้นฟูอย่างถึงที่สุดหรือไม่ แต่เวลาที่มันใช้ในการนั่งเข้าฌานรอบนี้ ถึงกับมากกว่าปกติร่วมสองเท่า

ร่างกายมันประหนึ่งสัตว์ร้ายผู้หิวโหยตัวหนึ่ง สูบกลืนพลังปราณธรรมชาติในบริเวณรอบ ๆ อย่างเกรี้ยวกราด เส้นชีพจรปราณปฐพีย่อยใต้เสื่อรับบทบาทสำคัญ ช่วยเติมพลังปราณธรรมชาติออกมาอย่างต่อเนื่อง พลังปราณธรรมชาติที่จั่วม่อดูดกลืนเข้ามาในคราวนี้ ไม่ได้ถูกกักเก็บไว้ในเส้นลมปราณเหมือนเช่นปกติ แต่กลับแทรกซึมกระจัดกระจาย เข้าไปในกล้ามเนื้อทั่วร่างกายของมันแทน

อาจกล่าวได้ว่าพรสวรรค์แต่กำเนิดของจั่วม่อพิเศษไม่น้อย คัมภีร์กฎสิบประการแม้มิใช่เคล็ดวิชาระดับสูงอันใด แต่กลับทำให้มันเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคำว่า ‘สงบและถูกต้อง’ ดังนั้นผลของการฝึกตนของมันนับว่าไม่เลวเลย

หลังจากเสร็จสิ้นการโคจรลมปราณครบรอบที่หก จั่วม่อประสบความสำเร็จในการทำลายสถิติ สามารถโคจรลมปราณได้มากรอบที่สุด ในการนั่งเข้าฌานครั้งเดียว นับตั้งแต่มันเริ่มต้นฝึกตนมาเลยทีเดียว

เมื่อจั่วม่อถอยออกจากฌาน มันก็ต้องตะลึงลาน เมื่อพบว่าบาดแผลทั่วร่าง ทุเลาไปแล้วกว่าเจ็ดแปดส่วน

จั่วม่อตรวจสอบพลังฝึกตนของตัวเอง มันเพิ่มพูนขึ้น แต่ไม่มากนัก ยังคงอยู่ในด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปด และด้วยเหตุผลบางอย่าง แทนที่จะเศร้าเสียใจ มันกลับรู้สึกโล่งใจ ควรทราบว่าสิ่งที่ผิดปกติเป็นผลงานของปิศาจ มักสร้างปิศาจในใจขึ้น การที่มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นมากมายในช่วงสองวันนี้ ถือได้ว่าเป็นการทดสอบความอดทนของจิตใจอย่างแท้จริง

พอหวนถึงถึงเรื่องเมื่อวาน มันก็ผนึกจิต ร่ายเคล็ดทองคำคร่ำคร่า

และแล้ว มันก็ราวกับปิศาจดลบันดาลจริง ๆ

พลังปราณทองคำคร่ำคร่าโคจรไปรอบ ๆ นิ้วของมันอย่างเบิกบานใจ ดูราวกับพายุทรายสีทองลูกหนึ่งส่องประกายอยู่เบื้องหน้า สีทองที่เคยซีดจาง กลับกลายเป็นสีเข้มไม่ผิดอันใดกับทองคำที่แท้จริง เพียบพร้อมไปด้วยความมันวาวอันพิเศษเฉพาะของโลหะทองคำ ประกายสีทองพราวพรายจนผู้คนแทบสายตาพร่ามัว

มีข้อมูลความรู้มากมายไหลเข้ามาในใจมัน เป็นสิ่งที่ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน และไม่เคยศึกษาจากที่ใด แต่ในยามที่พลังปราณทองคำคร่ำคร่าหมุนวนรอบนิ้วมัน ความรู้เหล่านั้นก็ค่อย ๆ ปรับปรุงจนสมบูรณ์ด้วยตัวมันเอง

เคล็ดปราณทองคำคร่ำคร่า เป็นเคล็ดวิชาสายโจมตีอย่างแท้จริง

หากก่อนหน้านี้ จั่วม่อเพียงแค่คาดเดา ยามนี้มันก็มั่นใจแล้ว

ลักษณะพิเศษเฉพาะของเคล็ดปราณทองคำคร่ำคร่า จะเปิดเผยตัวเองออกมาในขั้นที่สอง หากอ้างอิงจากรายละเอียดในม้วนคัมภีร์หยก จั่วม่อแน่ใจเป็นอย่างยิ่ง ว่ามันได้บรรลุเคล็ดปราณทองคำคร่ำคร่าขั้นที่สองแล้ว

เพียงค่ำคืนเดียว เคล็ดเมฆฝนหล่นรินเข้าถึงขั้นที่สี่ เคล็ดทองคำคร่ำคร่าขึ้นเป็นขั้นที่สอง ทำเอากระทั่งมันผู้ขวัญกล้าบังอาจ ยังหัวใจเต้นรัวเร็ว รู้สึกจิตใจไม่มั่นคงอยู่บ้าง

พลังที่เพิ่มขึ้นดูคล้ายภาพลวงตา แต่ผลลัพธ์อันสูงส่งนั้นจริงแท้แน่นอน อย่างไรก็ตาม มันไม่กล้าคาดหวังและไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก กระทั่งมันผู้ดื้อรั้น และเป็นผู้เขียนถ้อยคำลงไปเมื่อวาน ก็ชักรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา

ความปลอดภัยสมควรมาเป็นอันดับแรก!

———

หลังจากร่างกายทุเลาหายดี ชีวิตประจำวันของจั่วม่อก็กลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว นกกระเรียนกระดาษสีชมพูชั่วร้ายไม่ได้ปรากฏขึ้นอีก จั่วม่อยินดีปรีดา และสุขสบายยิ่ง

วัสดุมากมายหลากหลายชนิด วางเรียงอยู่บนโต๊ะ แร่โลหะเพลิงสีแดงเข้ม ก้อนสัมฤทธิ์ ไม้สนยาวเจ็ดฉื่อ...

นี่เป็นวัสดุครบชุด สำหรับหลอมสร้างจอบกระตุ้นปราณ ที่มันซื้อหามาจากเฟ่ยหวิน

การหลอมสร้างเป็นหนึ่งในทักษะงานฝีมือสำคัญ ที่ผู้ฝึกตนทุกคนต้องร่ำเรียน แต่เกือบทั้งหมดล่วงรู้เพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ยังเป็นอีกบทเรียนหนึ่ง ที่เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกนิยมมากที่สุด สำหรับกับศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักแล้ว ผู้ฝึกตนที่มีฝีมือด้านการหลอมสร้าง ย่อมสามารถหาการงานที่มั่นคงได้อย่างง่ายดาย

แต่สำหรับศิษย์ฝ่ายในของสำนัก โดยเฉพาะสำนักกระบี่ มีเพียงไม่มากนักที่สามารถหลอมสร้างได้ดี

นั่นเพราะเหล่าเซียนกระบี่ มักใช้กระบี่ของพวกมันพิชิตโลก และใช้กระบี่เพื่อได้รับสิ่งที่จำเป็น หรือสิ่งที่พวกมันต้องการ

สำหรับในสำนักของมัน มีเพียงศิษย์ของอาจารย์อาซินหยาน ที่มีพรสวรรค์ในการหลอมสร้าง ศิษย์พี่สวี่อี้ก็เป็นศิษย์เอกของอาจารย์อาซินหยานเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์อาซินหยานในรุ่นของท่าน หรือสวี่อี้ในรุ่นถัดมา สถานะของพวกมันไม่สูงนัก

แต่ทั้งหมดนั่นไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับจั่วม่อ

ในเวลานี้ มันกำลังตื่นเต้น การทดลองหลอมสร้างครั้งแรกในชีวิตมัน กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด