ตอนที่แล้วบทที่ 4 ไร้เหตุผล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 6 วิกฤติ

บทที่ 5 หุบเขาหมอกเย็นเยือก


อาศัยจี้หยกในมือเบิกทาง จั่วม่อในที่สุดอยู่รอดปลอดภัย ไปจนถึงทางเข้าหุบเขาหมอกเย็นเยือก

ทางเข้าหุบเขาถูกปกคลุมไปด้วยหมอก เห็นเพียงม่านควันสีขาวกว้างใหญ่ที่ไม่มีสิ่งใดเลย

จั่วม่อลังเลอยู่ชั่วครู่ มันไม่พบเส้นทางสายอื่น ได้แต่ก้าวเข้าไปในม่านหมอกเบื้องหน้าแล้ว

ครั้นล่วงผ่านเข้าไป ม่านหมอกดูเหมือนจะยอมรับมัน และพลันแยกตัวออกเป็นช่อง เผยให้เห็นเส้นทางเล็ก ๆ สายหนึ่ง จั่วม่อค่อยโล่งอก ถอนหายใจยาวเยือก มันเลื่อมใสเคล็ดอาคมหวงห้าม และค่ายกลเวทของสำนักยิ่ง สักวันหนึ่งหากมันสามารถทำได้เช่นนี้ คงเป็นสิ่งที่น่าสำราญบานใจนัก

ความคิดของมันอดไม่ได้ที่จะเตลิดไป

เดินไปตามเส้นทางอีกครึ่งหลี่ มุมมองสายตาพลันขยายออกกว้าง

เห็นพื้นที่ห้าหมู่ของหุบเขา เต็มไปด้วยสมุนไพรปราณนานาชนิด พวกมันล้วนมีรูปทรงแปลกตา สีสันแตกต่างหลากหลาย ราวกับว่าผืนพรมสลับสีถูกปูลาดไว้ในหุบเขา ผีเสื้อหลากสีสันหลายร้อยตัว โผบินดุจเริงระบำ  ฝูงผึ้งสีเหลืองดำบินไปมาเป็นขบวน

สูงขึ้นไปเบื้องบน น้ำตกสีเงินสาดเทลงมาจากหน้าผา สู่ด้านล่างของหุบเขา เสียงคำรามครืนครั่นดังปานฟ้าร้อง สายน้ำร่วงหล่นรุนแรง กระแทกลงในสระลึกไม่หยุดยั้ง ก่อให้เกิดหยดน้ำนับไม่ถ้วนกระเซ็นซ่าน และกลายมาเป็นละอองหมอก

ละอองไอน้ำผสมรวมกับกลิ่นหอมของสมุนไพรปราณนานาชนิด จั่วม่อสูดลมหายใจลึก คลับคล้ายสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก มันพลันรู้สึกว่าการดูแลสวนยาปราณ อาจไม่เลวร้ายเท่าที่มันคิด

นึกถึงคำเตือนของศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่น จั่วม่อรีบร่ายเวทวิชาเคล็ดเมฆฝนหล่นรินในทันที

ความชุ่มชื้นเริ่มควบแน่นจากรอบ ๆ จนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันค่อย ๆ กลายเป็นก้อนเมฆลอยเหนืออาณาบริเวณของสวนยา เวทวิชาของจั่วม่อพลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สองมือขยับวูบวาบร่ายกระบวนท่าตามลำดับ กลุ่มเมฆก็เริ่มกลั่นตัวเป็นหยาดฝนโปรยปรายลงทั่วพื้นที่สวนยาปราณ

ฝนห่าเล็ก ๆ นี้กินเวลาร่วมครึ่งชั่วยาม ก่อนที่จะเหือดหายไป จั่วม่อถอนหายใจโล่งอก สถานที่นี้เต็มไปด้วยความชุ่มชื้น ทำให้การบังคับใช้เคล็ดเมฆฝนหล่นรินเป็นไปอย่างสะดวกดาย มันอดไม่ได้ที่จะดีดลูกคิดคำนวณในใจ สถานการณ์ดีกว่าที่มันคาดหวัง หากมันยอมเหนื่อยยากดิ้นรนสุดตัว อาจบางทีสามารถทำงานอื่น ๆ ที่สัญญาไว้ ให้เสร็จสิ้นได้อย่างฉิวเฉียด

สิ่งที่มันต้องภาวนา คือขออย่าได้เกิดปัญหาอันใดขึ้นกับสวนยาเลย และหวังว่าพวกมันจะปลอดภัยจนกว่าศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่นจะกลับมา

เพราะไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ไม่มีสิ่งใดที่มันสามารถแก้ไขได้

หากจั่วม่อเคยมีจินตนาการอันบรรเจิดมาก่อน มันก็เพิ่งจะเข้าใจความเป็นจริงอันโหดร้ายในยามนี้เอง มันมีสัมผัสไวต่อความหนาแน่นของพลังงานปราณธรรมชาติ พลังปราณธรรมชาติในหุบเขาหมอกเย็นเยือกอุดมสมบูรณ์ยิ่ง การเลี้ยงดูสมุนไพรปราณในสถานที่อันดีงามเยี่ยงนี้ ระดับคุณภาพของสมุนไพรปราณที่ผลิตออกมาจะไม่ต่ำเลย

หากเกิดอันใดขึ้นจริง ๆ ภายใต้การดูแลของมัน ...เกรงว่า...

จั่วม่ออดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทา

แม้ว่าเส้นทางในหมอกนั้น จะเต็มไปด้วยอาคมหวงห้ามเป็นชั้น ๆ แต่ภายในหุบเขากลับไม่ปรากฏอยู่เลย จั่วม่อสามารถเดินสำรวจไปทั่วอาณาบริเวณ สระน้ำลึกมากจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ความเย็นเยือกของน้ำเสียดแทงเข้าไปถึงกระดูก เสียงคำรามของน้ำตกดังสนั่น สะท้อนสะท้านไปทั่วหุบเขา

มันก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ในสวนยา ตรวจสอบสมุนไพรปราณทีละต้น ปรารถนาจะสลักลักษณะของสมุนไพรปราณแต่ละชนิดไว้ในความทรงจำ มันเพียงเคยเพาะปลูกข้าวปราณ ไม่ได้มีความรู้ใด ๆ ในสมุนไพรปราณ ดังนั้นได้แต่ใช้วิธีร่ำเรียนอันทื่อด้านเช่นนี้ ยามนี้มันไม่ได้คิดหวังความดีความชอบ เพียงหวังว่าจะไม่เกิดสิ่งใดผิดพลาด

ด้วยมูลค่าของสมุนไพรปราณเหล่านี้ ต่อให้มันขายตัวเอง ยังไม่อาจชดใช้ได้หมด

ดังนั้นจั่วม่อสามารถเอาหัวเป็นประกัน ว่ามันไม่เคยตั้งอกตั้งใจจดจ่อกับสิ่งใดมากเท่านี้มาก่อน

ครั้นท้องฟ้าเริ่มมืดค่ำลง มันก็ลากร่างอันเหนื่อยล้ากลับไปยังที่พัก แต่พอเห็นสภาพอันยุ่งเหยิงรอบลานบ้าน เห็นอาคมหวงห้ามที่แหลกเป็นชิ้น มันรู้สึกอยากร่ำไห้เป็นกำลัง

ยามนี้จั่วม่อไม่เหลือเรี่ยวแรงพอที่จะสร้างอาคมหวงห้ามขึ้นอีกครั้ง มันเหน็ดเหนื่อยมากจนแทบอยากตาย ไม่มีเรี่ยวแรงกระทั่งจะเปิดเปลือกตาขึ้น

กลับเข้าสู่ห้องสันโดษ มันทำได้แค่ประจุพลังปราณหยดสุดท้ายเข้าสู่อินกุย ก่อนจะฟุบลงบนเสื่อ หลับใหลไป

------------------------

นานเท่าใดมิอาจทราบ มันค่อยผวาตื่นขึ้นมาด้วยเสียงรายงานข่าวของอินกุย

“งานชุมนุมวิจารณ์กระบี่ครั้งที่ยี่สิบสาม เสร็จสิ้นรอบคัดเลือกแล้ว จนถึงขณะนี้มีสี่พันสองร้อยห้าสิบสามเซียนกระบี่ ผ่านเข้ารอบถัดไป งานชุมนุมวิจารณ์กระบี่ในปีนี้มีรางวัลมากมาย ร้อยอันดับแรกจะได้รับกระบี่บินคุณภาพระดับสี่ สิบอันดับแรกจะได้รับกระบี่บินระดับห้า ส่วนรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นกระบี่บินระดับที่เจ็ด เรียกว่าคมผลึกสีเงิน นับว่าเป็นรางวัลระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ชุมนุมวิจารณ์กระบี่ และนี่ได้เรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์เอกของสำนักใหญ่หลายแห่ง รวมถึงสำนักกระบี่อู๋ซวง (ไร้คู่) สำนักกระบี่สั่วหลัว (เสาะหาสถานที่)...”

“สิ่งที่ดี สิ่งที่ดี ข้าอยากได้ ข้าอยากได้ ไม่มีโอกาส ไม่มีโอกาส”

จั่วม่อดึงตัวขึ้นจากเสื่อ พลางครวญเพลงเสียงแปลกพิกล

เดินออกจากห้องสันโดษ มันตั้งใจจะเริ่มต้นด้วยการสร้างอาคมหวงห้ามขึ้นใหม่ ส่วนกำแพงคงต้องรอไปก่อน ค่อยสร้างใหม่ในภายหลัง

มันกวาดตามองอิฐหัก ๆ ที่กระจายอยู่ทั่ว คาดว่าต้องเริ่มทำความสะอาดก่อนเป็นอันดับแรก มิเช่นนั้นมันจะไม่มีพื้นที่พอที่จะสร้างอาคมหวงห้าม ด้วยพลังฝึกตนด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่เจ็ด มีข้อจำกัดมากมายสำหรับมันในการสร้างอาคมหวงห้าม

จั่วม่อครวญเพลงไปพลาง ทำความสะอาดกำแพงที่แตกหักไปพลาง บ้านหลังนี้แม้สร้างมานานแล้ว กำแพงเองก็อยู่ในสภาพทรุดโทรม แต่จะอย่างไรถือว่ายังคงอยู่ แต่ยามนี้มันกลับถูกทำลายโดยสมบูรณ์ ด้วยฝีมือของศิษย์พี่หลัวหลี หวนนึกถึงแรงกระแทกรุนแรงอันน่าสะพรึงกลัว ยามที่ศิษย์พี่หลัวหลีพุ่งลงมาจากฟ้า หัวใจของจั่วม่อยังสั่นระรัวมาจนถึงยามนี้

โอ้! จั่วม่อจู่ ๆ ก็หยุดเดิน แล้วก้มตัวลงเก็บบางสิ่งบนพื้น

มันเป็นนกกระเรียนกระดาษสีชมพูตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง เล็กกว่านกกระเรียนกระดาษเหลืองของจั่วม่อมาก แต่ฝีมือการสร้างประณีตยิ่ง เจ้าสิ่งนี้สมควรเป็นสิ่งที่เรียกว่ากระเรียนน้อยพันตัว ใช้สำหรับถ่ายทอดวาจา หรือใช้เป็นจดหมาย มันเป็นของเล่นชนิดหนึ่ง กล่าวถึงการส่งจดหมายมันไม่เร็วเท่าจดหมายกระบี่บิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะทางอันห่างไกล การใช้งานกระเรียนน้อยพันตัวไม่ได้สะดวกอันใด ดังนั้นผู้ที่คิดจะใช้มัน มีเพียงผู้ฝึกตนที่ต่ำกว่าด่านจินตันเท่านั้น

มันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

จั่วม่อรีบคลี่เจ้ากระเรียนสีชมพูอย่างหยาบคาบ แล้วพลันตระหนักในทันที เจ้านี่คือกระเรียนอธิษฐานพันตัวนั่นเอง

เมื่อนานมาแล้ว ครั้งที่ผู้ฝึกตนเริ่มบุกฝ่าช่องว่างทางพื้นที่ และค้นหาเขตปกครองใหม่ พวกมันมักประสบอันตราย ทั้งยังตกลงไปในกับดัก เหล่าผู้ฝึกตนที่ติดกับดักพบว่าไม่ปัญญาหลุดรอดได้ ดังนั้นพวกมันจะเขียนความปรารถนาและคำวิงวอนขอความช่วยเหลือ บนกระเรียนน้อยพันตัว และส่งมันออกไปที่ใดสักแห่ง เนื่องจากไม่มีรอยประทับวิญญาณ ที่สามารถมุ่งไปหาได้โดยตรง ดังนั้นไม่มีผู้ใดทราบว่ากระเรียนน้อยพันตัวจะบินไปถึงที่ใด แต่จะอย่างไร ผู้ฝึกตนมีช่วงชีวิตอันยาวนาน หากพวกมันมีโชคอยู่บ้าง อาจสามารถรอดชีวิตได้เป็นเวลานาน จนความช่วยเหลือมาถึง

หลังจากครั้งแรกที่กระเรียนอธิษฐานพันตัวประสบความสำเร็จ ในการช่วยเหลือผู้ฝึกตนที่ติดกับดัก มันก็กลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วในโลกของผู้ฝึกตน แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงการละเล่นของเหล่าเด็กหญิงผู้ฝึกตน ที่จะใช้เพื่อระบายอารมณ์ของพวกนาง พวกนางจะเขียนความรู้สึกลงไปในกระเรียนอธิษฐานแล้วส่งมันออกไป พวกนางยังจะสลักรอยประทับวิญญาณของตนไว้ในกระเรียนกระดาษ เพื่อที่ว่าผู้ที่เก็บมันได้ จะสามารถส่งกระเรียนอธิษฐานกลับคืนไปยังเจ้าของ

จะมีสิ่งใดอีกเล่า ที่จะทำให้เด็กสาวหัวใจเต้นแรง ได้มากไปกว่าโชคชะตาอันมิอาจหยั่งคำนวณ กับถ้อยคำอันแสนวิเศษ

จั่วม่อจนปัญญาทำความเข้าใจพฤติกรรมเยี่ยงนี้ ในใจมันมีเพียงจิงสือ ข้าวปราณ และการฝึกวิชาเท่านั้น เรื่องราวแสนหวานอันหรูหราฟุ่มเฟือยเช่นนี้ หามีอยู่ในตัวมันสักกระผีกริ้นไม่

พอคลี่คลายกระเรียนกระดาษออกจนหมด ตัวอักษรงดงามไม่กี่แถวก็เผยโฉม

“มุ่งมาดปรารถนา

สะพายสัมภาระ

ร่อนเร่ลำพัง

ไปยังสถานไร้ผู้คน

ขับขานดนตรีกาล

เบิกบานอาบแสงสุริยา”

อ่อนไหวไร้สาระ! ในใจจั่วม่อแค่นเสียงอย่างเย็นชา ทั้งให้คำวิจารณ์ที่มันคิดว่าเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง  น่าเสียดายที่กระดาษดี ๆ เช่นนี้ต้องมาเสียเปล่า แม้มันไม่ทราบว่ากระดาษนี้ทำจากสิ่งใด แต่จะอย่างไรคุณภาพไม่ต่ำกว่าระดับที่สามเป็นแน่

ใช้กระดาษระดับที่สามทำเป็นกระเรียนน้อยพันตัว ช่างเป็นการสิ้นเปลืองที่ชวนให้ผู้คนขนหัวลุกชันนัก

เมื่อกระดาษถูกใช้งานเช่นนี้ มันจะไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้อีก ช่างน่าเสียดายอย่างสุดซึ้ง จั่วม่อคิด

มันกำลังจะขยำกระดาษสีชมพูให้เป็นก้อน แต่แล้วพลันชะงัก เอียงคอคิดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปในห้อง

เมื่อเข้าไปในห้อง มันหันซ้ายหันขวา มองหาไปรอบ ๆ แล้วก็ค้นพบสิ่งที่ต้องการ

พู่กันแข็งขนพังพอน กับชาดสดใหม่อันแสนเข้มข้น

ยกพู่กันขึ้น จุ่มลงในชาด แล้วสะบัดข้อมืออย่างลื่นไหล ขณะที่เขียนคำลงไป

“งี่เง่า”

มองแผ่นกระดาษสีชมพูถูกอักษรสีแดงสดสองคำ เขียนพาดทับจนเต็มพื้นที่ จั่วม่อหัวร่อเสียงกระหึ่มอย่างภาคภูมิใจ

ชีวิตมันเต็มไปด้วยความตึงเครียด ภาระงานหนักและตรากตรำ ไม่มีเวลาจะมามัวซาบซึ้งอันใด มันรู้ดีถึงความยากลำบากในการเอาชีวิตรอด รอบตัวมันก็มีแต่ผู้คนที่ใช้ชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อการอยู่รอด ล้วนทำงานหนักเพื่อครอบครัว เพื่อลูกหลาน เพื่อคนรุ่นต่อไป เฉกเช่นเหล่าเฮย

แม้ลำบากยากเข็ญและเหน็ดเหนื่อย แต่จั่วม่อมิได้รังเกียจชีวิตเช่นนี้ ตรงกันข้าม มันกลับรู้สึกว่าเช่นนี้ต่างหากจึงเป็นชีวิตที่แท้จริง

อันความความอ่อนไหวไร้สาระ มีเพียงผู้คนที่อยู่ว่างเกินไป และสุขสบายเกินไปเท่านั้น จึงจะรู้สึกเช่นนั้นได้ จั่วม่อดูแคลนคนเหล่านี้ยิ่ง

มันครวญเพลงอย่างร่าเริง ขณะที่พับกระดาษให้กลับเป็นนกกระเรียนน้อยพันตัวอีกครั้ง

“ใครงี่เง่า ใครงี่เง่า เจ้านั่นเอง เจ้านั่นเอง”

เพื่อเปิดใช้งานรอยประทับวิญญาณในกระเรียนอธิษฐานพันตัว จั่วม่อประจุพลังปราณเข้าไป แล้วขว้างมันขึ้นไปในอากาศ

เจ้ากระเรียนน้อยสีชมพูกระพือปีกน้อย ๆ ของมัน ก่อนจะหายลับไป

จั่วม่ออารมณ์ดีขึ้นมาก มันทำความสะอาดลานอย่างร่าเริง สองเท้ากลายเป็นเบากว่าปกติอยู่บ้าง

——–

ครั้นอาคมหวงห้ามติดตั้งแล้วเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยไปเป็นยามบ่าย จั่วม่อรีบหาอะไรรับประทาน ก่อนกลับเข้าห้องสันโดษเพื่อนั่งเข้าฌาน

ปกติศิษย์ฝ่ายนอกมักไม่ใช้เวลานานนักในการเข้าฌาน เพราะเมื่อเทียบกับการฝึกฝนเวทวิชา การเข้าฌานบำเพ็ญตบะ เพื่อเพิ่มพูนพลังฝึกตน ไม่ค่อยเห็นประโยชน์นัก

อย่างไรก็ตาม จั่วม่อยังคงใช้เวลานั่งเข้าฌานสองชั่วยามต่อวัน หลังจากที่มันพบชีพจรปราณปฐพีในห้องสันโดษ มันใช้เวลามากขึ้นในการเข้าฌานในแต่ละวัน ผู้ฝึกตนเน้นรากฐาน นั่นเป็นหลักการที่ทุกผู้คนล้วนเข้าใจ สิ่งที่มันฝึกฝนแม้เป็นเคล็ดวิชาขั้นพื้นฐานที่สุด แต่ด้วยประสิทธิผลจากชีพจรปราณปฐพี ผลที่ได้รับกลับโดดเด่นไม่น้อย

ความเข้มงวดของระดับชนชั้นในโลกแห่งผู้ฝึกตนเป็นอย่างไร ตัวมันเข้าใจอย่างลึกซึ้ง หากมันอยู่ในด่านจู้จี แม้ว่ามันจะเป็นเพียงศิษย์ฝ่ายนอก แต่ห่าวหมิ่นกับหลัวหลียังมิอาจหาญพอจะปฏิบัติต่อมันเยี่ยงนี้ ด่านจู้จีคือเส้นแบ่งชนชั้น สามารถกำหนดคุณภาพชีวิตของท่านโดยตรง

หากคาดหวังชีวิตอันดีงาม หนทางเดียวคือพากเพียรเลื่อนระดับพลังฝีมือของตนอย่างต่อเนื่อง

จั่วม่อนั่งลงบนเสื่อสมาธิคู่ใจ และเริ่มเข้าสู่ฌาน

———–

สามชั่วยามผ่านไป ก่อนที่มันจะเปิดตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความยินดี

ด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปด!

ก้มหน้าพากเพียร บำเพ็ญตบะฝึกตน ในที่สุดก็เห็นผลตอบแทน มันบรรลุถึงขั้นที่แปด!

ผู้ฝึกตนที่บรรลุด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปด ในหมู่ศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักกระบี่สุญตาทั้งหมด แน่นอนว่าสามารถเข้าสู่สามอันดับแรก

จั่วม่อกางนิ้วออก เริ่มร่ายเวทวิชา ชั้นปราณทองคำคร่ำคร่าปรากฏขึ้นรอบนิ้วของมัน เมื่อพลังฝึกตนเลื่อนขั้น การร่ายเวทวิชาก็กลับกลายเป็นง่ายดายขึ้น จั่วม่อทดลองร่ายเคล็ดเมฆฝนหล่นรินอย่างตื่นเต้น

มันพลันรู้สึกถึงความแตกต่าง การควบแน่นความชื้นรวดเร็วขึ้นอย่างน่าตระหนก สายฝนหล่นรินลงมาประดุจเส้นด้ายสีเงินที่ไม่มีวันสิ้นสุด  มันอยากให้เวลาเนิ่นช้าลง เพื่อค่อย ๆ ลิ้มรสประสบการณ์ใหม่อันสุดแสนจะน่าตื้นตัน

แต่พอหวนนึกถึงสวนยาสมุนไพร มันรีบลุกขึ้น แล้ววิ่งออกจากบ้าน

วิ่งรวดเดียวถึงหุบเขาหมอกเย็นเยือก ไม่เสียเวลาในการปรับลมปราณฟื้นฟูพลัง จั่วม่อเริ่มร่ายเวทวิชาเคล็ดเมฆฝนหล่นริน จนกระทั่งสมุนไพรปราณทุกต้นชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำฝน ก้อนหินที่ถ่วงในใจมันค่อยเหมือนถูกยกออกไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด