ตอนที่แล้วบทที่ 37 สองกระบี่ !
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 39 แรกสัมผัสวิชาหลอมกลั่น

บทที่ 38 เรือนขิงหอม


เกี่ยวกับทุ่งปราณยี่สิบหมู่ของมัน จั่วม่อจำเป็นต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ในมือมันเหลือเงินอยู่น้อยนิด ไม่มีปัญญาซื้อหาเมล็ดพันธุ์สมุนไพรปราณได้มากนัก อาศัยข้อสรุปที่ผู้อาวุโสเว่ยหนานสร้างขึ้นจากประสบการณ์ชั่วชีวิต เมล็ดที่มันเลือกเป็นสายพันธุ์ที่มีสัดส่วนคุณภาพและราคาสูง เพื่อรับประกันผลกำไรที่จะได้รับ จั่วม่อได้ศึกษาวิเคราะห์ตลาดปัจจุบันอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะหอบถุงผ้าใบโตกลับไปยังภูเขา

แต่มันไม่สามารถเริ่มต้นเพาะปลูกได้ในทันที

จนกระทั่งถึงตอนนี้ มันมีเพียงประสบการณ์เพาะปลูกข้าวปราณเท่านั้น พืชปราณแต่ละชนิดล้วนมีข้อเรียกร้องและข้อควรระวังแตกต่างกันไป โชคยังดีที่ผู้อาวุโสเว่ยหนานบันทึกคำอธิบายอย่างละเอียดไว้ในม้วนหยก มันจึงไม่จำเป็นต้องลงมือลองผิดลองถูกด้วยตนเอง

คร่ำเคร่งศึกษาร่ำเรียนบันทึกในม้วนหยก ทุ่มเทฝึกปรือเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดอย่างยากลำบาก นอกเหนือจากนี้ มันยังจำเป็นต้องดูแลสวนยาในหุบเขาหมอกเย็นเยือก ตลดทั้งวันทำงานตัวเป็นเกลียว ยุ่งวุ่นวายจนหัวหมุน สองเท้าแทบไม่ได้สัมผัสพื้น

ครั้นเมื่อศึกษาร่ำเรียนบันทึกในม้วนหยกจนทะลุปรุโปร่งแล้ว มันก็เริ่มต้นเตรียมงานสำหรับการเพาะปลูกครั้งแรก โชคดีที่ทั้งหมดเป็นสมุนไพรปราณกับหญ้าปราณที่ค่อนข้างธรรมดาสามัญ ไม่ต้องการอะไรที่หาได้ยากหรือราคาแพง มิเช่นนั้นมันอาจทำได้เพียงแค่จ้องมองอย่างเดียวแล้ว

“ข้ายากจนมาก ข้ายากจนเหลือแสน ข้ายากจนเหลือเกิน ข้ายากจน ยากจน ยากจน น่าสงสาร ข้ายากจน ยากจน ยากจน ... ...”

จั่วม่อครวญเพลงพิลึก ๆ ไปพลาง กำกับไส้เดือนตลบโคลนให้ไถพรวนทุ่งปราณไปพลาง จากนั้นก็หว่านเมล็ดสมุนไพรปราณกับหญ้าปราณที่มันซื้อมา

ไม่กี่วันถัดมา ท้องทุ่งปราณยี่สิบหมู่ก็เขียวชอุ่มไปด้วยต้นอ่อนเต็มพรืด เหล่าพืชเขียวอันละมุนละไมนี้นำพาความหวังมาสู่จั่วม่อ

จั่วม่อในที่สุดสามารถผ่อนคลายลงบ้าง กับการใช้แรงงานอันหนักหนาสาหัสในหลายวันมานี้ กระทั่งมันเองยังแทบจะทานทนไม่ไหว แต่หลังจากปลูกเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว ภาระงานก็ลดลงไปครึ่งหนึ่งในทันที มันค่อยมีเวลาสำหรับบำเพ็ญเพียร

นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เหล่าเซียนกระบี่มักไม่ชมชอบฝึกปรือเวทวิชาทำมาหากินชนิดต่างๆ ไม่ว่าฝึกปรือเวทวิชาใดล้วนต้องทุ่มเททั้งเวลา และความมานะพยายาม สำหรับผู้ฝึกฝนกระบี่ พวกมันเพียงจดจ่ออยู่กับกระบี่ นี่จะช่วยให้พวกมันมีพลังโจมตีอันเข้มแข็งไร้คู่เปรียบ

และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ในบรรดาซิวเจ่อทุกประเภท หากประจันหน้ากันตัวต่อตัวแล้ว เซียนกระบี่จะทรงพลังมากที่สุด

แต่แน่นอนว่าในสถานการณ์จริงจะซับซ้อนยิ่งขึ้น ซิวเจ่อสองคนต่อสู้พิสูจน์ฝีมือกัน มีอีกหลายปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการต่อสู้ เป็นเรื่องยุ่งเหยิง ลึกล้ำ และซับซ้อน ยกตัวอย่างเช่น พลังฝึกปรือ ยุทธภัณฑ์เวท ค่ายกลยันต์เวท เคล็ดวิชา กระบวนท่า เป็นต้น

จั่วม่อยังไม่จำเป็นต้องห่วงพะวงกับเรื่องราวเหล่านี้ อย่างน้อยก็จนกว่ามันจะเข้าสู่ด่านจู้จี มันยังไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองกำลังความคิดมาพิจารณา สำหรับมันแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดในยามนี้คือทะลวงด่านจู้จี จากนั้นจึงเป็นเวทวิชาเบญจธาตุขั้นพื้นฐานทั้งห้าวิชา  สิ่งเหล่านี้ต่างหาก จึงจะส่งผลโดยตรงต่อสิ่งที่มันจะได้รับ

มันละทิ้งคัมภีร์กฎสิบประการไปอย่างสิ้นเชิง พยายามจะพึ่งพาเคล็ดวิชาชั้นต่ำนี้เพื่อเข้าสู่ด่านจู้จี เป็นเพียงความเพ้อฝันเท่านั้น เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดกลายเป็นทางเลือกเดียวของมัน มันได้แต่ฝึกปรือเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดราวกับเป็นเคล็ดพลังปราณวิชาหนึ่ง หลังจากนี้เมื่อมันเข้าสู่ด่านจู้จีสำเร็จ สำนักจะมอบเคล็ดวิชาใหม่ให้กับมัน เมื่อถึงเวลานั้นมันค่อยมีทางเลือกมากขึ้น

ระยะนี้มันยุ่งมากถึงที่สุด ยุ่งจนกระทั่งลืมการคงอยู่ของผูเยาไปเลย เวลานี้จู่ ๆ ก็นึกถึงผูเยาขึ้นมาได้ จึงตัดสินใจเข้าสู่ทะเลแห่งจิตสำนึกเพื่อดูลาดเลาเสียหน่อย

พอเข้าสู่ทะเลแห่งจิตสำนึกเท่านั้น จั่วม่อก็ถึงกับปากอ้าตาค้าง

หากเทียบกับเมื่อก่อน อาณาเขตของทะเลแห่งจิตสำนึกของมันกว้างขวางขึ้นหลายเท่า นี่ไม่ได้ทำให้มันแปลกใจเท่าใด เพราะทราบดีว่าพลังแห่งจิตวิญญาณของมันยกระดับขึ้นมาก มันค้นพบแต่แรกว่าเมื่อใดที่พลังจิตวิญญาณเพิ่มพูนขึ้น ทะเลแห่งจิตสำนึกก็จะขยายขนาดตามไปด้วย

สิ่งที่ทำให้มันตระหนกจริง ๆ กลับเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง! มิทราบว่าตั้งแต่เมื่อใด ถึงกับมีแม่น้ำเพิ่มเข้ามาในทะเลแห่งจิตสำนึกของมันอีกแล้ว

เป็นแม่น้ำสีเงินสดใสสายหนึ่ง พื้นผิวไม่กว้างขวางเท่าใด แต่ตรงแน่วอย่างผิดธรรมชาติ พาดผ่านกึ่งกลางของทะเลแห่งจิตสำนึก แบ่งทะเลแห่งจิตสำนึกออกเป็นสองส่วน และเมื่อจั่วม่อเข้าไปใกล้ มันก็ต้องประหลาดใจซ้ำเป็นหนที่สอง เมื่อค้นพบว่าสิ่งที่ล้นปรี่อยู่ในแม่น้ำกลับไม่ใช่น้ำ แต่เป็นผลึกน้ำแข็งใหญ่น้อยนับไม่ถ้วน แสงสะท้อนผ่านเหล่าผลึกน้ำแข็งก่อเกิดประกายสีเงินกระจ่าง และเมื่อผลึกน้ำแข็งเหลือคณานับสะท้อนแสงพร้อมกัน แสงสว่างนั้นจัดจ้ามากพอที่จะทำให้ทะเลแห่งจิตสำนึกของมันสว่างไสวขึ้น พวกมันกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแช่มช้า ราวกับการเคลื่อนที่ของกระแสน้ำ ชั้นแสงสีเงินทับซ้อนวาบประกาย คลับคล้ายมังกรน้ำแข็งที่นิทราอย่างสงบตัวหนึ่ง

สองฟากฝั่งข้างแม่น้ำสีเงิน เป็นเปลวเพลิงแดงฉานอันจดจ่อรวมรั้งชนิดหนึ่ง เพลิงแดงเหล่านี้ประดุจกลุ่มพืชน้ำสีแดงเจริญงอกงามเป็นแผ่นผืนอยู่ริมตลิ่ง

บนฟากฟ้าเหนือศีรษะมัน ดาราเดียวดายดวงนั้นทวีความเจิดจ้าขึ้น ทั้งเปลวเพลิงคำรามโชติช่วงและแม่น้ำน้ำแข็งอันเรืองรอง ไม่สามารถปิดกั้นแสงสว่างอำไพของดวงดาวไว้ได้อีก

ภายในทะเลเพลิงเริงรำ เหนือธารน้ำแข็งตระการตา ใต้แสงดาราประกาย เห็นป้ายหินสุสานปกคลุมด้วยเมฆดำทมิฬ ผูเยาเอนกายอย่างเงียบงันอยู่บนนั้น ยังคงฟังอินกุยเช่นเคย

ภาพเหตุการณ์นี้ทำเอาจั่วม่อตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง

ทะเลแห่งจิตสำนึกสงบเงียบถึงที่สุด มีเพียงเสียงของอินกุยล่องลอยเล่นลม เพลิงสีแดงเข้มเต้นระบำราวกับนางรำผู้เย้ายวนที่สุดบิดเอวอ้อนแอ้นของพวกนาง ธารน้ำแข็งที่ไหลช้า ๆ ดูคล้ายกระบี่เล่มหนึ่ง เย็นเยียบ เฉยเมย และน่าเกรงขาม ดวงดาวอันเดียวดายดวงนั้นทั้งลี้ลับและลึกล้ำ ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ประกอบเป็นภาพอันกลมกลืนถึงขีดสุดชนิดหนึ่ง บันดาลให้มันทั้งตะลึง ทั้งทึ่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ครู่ใหญ่ต่อมา จั่วม่อจิตใจค่อยกลับมารวมตัว

มันยังไม่ทราบกระจ่างว่าทะเลเพลิงกับดวงดาวคือสิ่งใด แต่สำหรับสายธารน้ำแข็งนั้นดูคลับคล้ายเจตจำนงกระบี่กระแสธารผลึกน้ำแข็งที่มันบรรลุถึง! เกี่ยวกับเรื่องนี้มันแน่ใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเท่าที่ตาเห็น สิ่งที่ไหลรินอยู่ในแม่น้ำหาใช่ผลึกน้ำแข็งไม่ แต่เป็นเจตจำนงกระบี่มากมายนับไม่ถ้วนต่างหาก แม่น้ำน้ำแข็งนี้ก่อตัวขึ้นในช่วงเวลาเหมาะเจาะพอดี มันรู้สึกว่ามีบางอย่างเชื่อมโยงกันอย่างเบาบาง แต่ไม่ว่าจะครุ่นคิดอย่างหนักเพียงใด กลับไม่สามารถคว้าจับสิ่งใดไว้ได้

ทั้งเพลิงแดงและดวงดาราปรากฏขึ้นมาเร็วอย่างยิ่ง โดยที่มันไม่ทันรู้ตัวเลยสักครั้ง พวกมันสมควรเกี่ยวข้องกับเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด ช่วงเวลาที่ดาวดวงนั้นปรากฏขึ้น เป็นเวลาที่มันสำเร็จลมหายใจแรกพอดี ดวงดาวใช่เป็นตัวแทนของหนึ่งลมหายใจหรือไม่? เช่นนั้นทะเลเพลิงคือสิ่งใดกันแน่?

มันอยากถามผูเยา แต่ก็ทราบว่าผูเยาจะไม่ตอบอย่างแน่นอน

อ้อ แต่แน่ใจได้ว่าถ้ามีจิงสือ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

จั่วม่อไม่รบกวนผูเยา และออกจากทะเลแห่งจิตสำนึกทันที

ครั้นจั่วม่อหายไปจากทะเลแห่งจิตสำนึก ผูเยาพลันลืมตาขึ้น ในดวงตาสีเลือดของมันเปิดเผยเค้าความหวาดวิตกออกมา

แม้ว่าจั่วม่อจะเข้าถึงด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่เก้าแล้ว แต่ยังคงมีระยะทางอันห่างไกลกว่าจะถึงด่านจู้จี ปริมาณพลังปราณที่ต้องการสำหรับด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่เก้า ยังมากมายกว่าขั้นก่อน ๆ มาก จั่วม่อไม่ได้ร้อนใจแต่อย่างใด ด้วยความช่วยเหลือจากเส้นชีพจรปราณปฐพี หากมันยังไม่มีปัญญาบรรลุด่านจู้จี ก็คงไม่จำเป็นต้องฝึกปรืออีกต่อไป สมควรไปทำไร่ไถนาจริง ๆ จัง ๆ เสียดีกว่า

มันรู้สึกว่าการเพิ่มพูนพลังปราณในร่างมันรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง

หญ้ามังกรเพลิงถูกย้ายไปปลูกในเขตทุ่งปราณของมันเองเรียบร้อยแล้ว แสงแดดในหุบเขาลมตะวันตกอุดมสมบูรณ์ยิ่ง ทั้งยังเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของหญ้ามังกรเพลิงมากขึ้น

เช่นเดียวกับปกติ จั่วม่อยืนอยู่เบื้องหน้าต้นหญ้ามังกรเพลิง โคจรพลังปราณ สองหัตถ์ร่ายท่วงท่าปางมืออย่างรวดเร็ว นี่ย่อมเป็นเคล็ดอัคคีสีชาด เมื่อผ่านการฝึกปรือกระบวนท่าดัชนีใต้น้ำแล้ว หัตถ์คู่นั้นก็กลายเป็นคล่องแคล่วปราดเปรียวกว่าเดิมมาก อาศัยกระบวนท่าเรียบง่ายไม่กี่กระบวนท่า ก็ร่ายเคล็ดอัคคีสีชาดออกมาได้อย่างง่ายดาย

เห็นแสงสีทองเบาบางสายหนึ่งพุ่งลงมาจากฟากฟ้า กระทบผ่านมือของจั่วม่อ ชี้นำไปสู่ต้นหญ้ามังกรเพลิง

เคล็ดอัคคีสีชาดควบรวมแก่นสารของหยางบริสุทธิ์ เป็นประโยชน์อย่างล้นเหลือต่อพืชประเภทหยาง

จั่วม่อไม่ไหวติง ยืนนิ่งประหนึ่งรูปปั้นหินรูปหนึ่ง

หลักการสำคัญของเคล็ดอัคคีสีชาดเน้นที่ความอดทนอดกลั้นอย่างต่อเนื่อง และจิตใจอันสงบเป็นสมาธิ นี่ไม่เป็นปัญหาสำหรับจั่วม่อเลย หลังจากได้รับป้ายหยกชุนหยามาแล้ว มันค่อยพบว่าที่แท้มันเดินอ้อมทางไปไม่น้อย หากทีแรกมันเลือกฝึกปรือเคล็ดอัคคีสีชาด ก็สมควรได้รับป้ายหยกชุนหยารวดเร็วกว่านี้เสียอีก อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ถือว่ามีอะไรสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เนื่องจากมันสามารถสำเร็จเคล็ดสารพันพฤกษ์ ซึ่งเป็นวิชาที่ยากที่สุดในห้าเวทวิชา เวทวิชาอื่น ๆ ย่อมสำเร็จได้อย่างง่ายดายกว่าเดิม

เวลาเคลื่อนผ่านไปเล็กน้อย

เส้นใยแสงสีทองอ่อนที่ส่องลงมาจากฟากฟ้าเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นเล็กน้อย ชั้นแสงสีทองปรากฏขึ้นบนมือของจั่วม่อ ราวกับทองคำอาบชุบลงบนสองหัตถ์

กลุ่มใบของหญ้ามังกรเพลิงกลายเป็นสดใสและชุ่มชื่นขึ้น ความมีชีวิตชีวาฟุ้งกระจายออกมาจากตลอดทั้งต้น

หลังจากอดทนมาเป็นเวลาห้าก้านธูป จั่วม่อหยุดลงในที่สุด สองหัตถ์เคลื่อนกลับเข้าหาตัว เส้นใยแสงสีทองเบาบางพลันหายวับไป

จั่วม่อตรวจสอบต้นหญ้ามังกรเพลิง รู้สึกพึงพอใจไม่น้อย เคล็ดอัคคีสีชาดดียิ่งสำหรับพืชประเภทหยาง        ควรทราบว่าพืชทั้งหมดแบ่งออกเป็นหยินและหยาง จั่วม่อยังแบ่งทุ่งปราณของมันออกเป็นสองส่วนเช่นเดียวกัน ส่วนที่ได้รับแสงตะวันเต็มที่ มันใช้ปลูกพืชประเภทหยาง ส่วนซีกที่สลัวไปด้วยร่มเงาและชุ่มชื้นกว่า มันเน้นปลูกพืชประเภทหยิน

จั่วม่อเตรียมร่ายเวทวิชาเคล็ดปราณพิภพต่อ ในแต่ละวัน มันจะร่ายเวทวิชาหลากหลายชนิดกับพืชเหล่านี้ นี่เป็นภาระที่จะต้องทำจนเสร็จสมบูรณ์ในทุก ๆ วัน มันไม่ทราบว่าใช้เวทวิชาไปมากมายเพียงใด แต่เคล็ดอัคคีสีชาดกับเคล็ดปราณพิภพ บรรลุถึงขั้นที่สามอย่างรวดเร็วโดยไม่ประสบปัญหาติดขัดอันใด เหมือนตอนที่ทะลวงผ่านสามเวทวิชาก่อนหน้า

หลังจากนั้น มันขบคิดและเข้าใจในที่สุด เรื่องนี้ความดีความชอบส่วนใหญ่คงต้องยกให้เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด ด้วยความที่พลังแห่งจิตวิญญาณของมันทรงพลังกว่าเดิมมาก ไม่ว่าจะเป็นจิตใจอันสงบของเคล็ดอัคคีสีชาด หรือการติดต่อสื่อสัมพันธ์และการหยั่งรู้ของเคล็ดปราณพิภพ ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงกับพลังแห่งจิตวิญญาณอย่างแน่นแฟ้น

ทันใดนั้น แสงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งลงมาจากฟ้า มาหยุดอยู่ข้างมือมัน

เห็นกระบี่บินสีม่วงขนาดเท่านิ้วกลางเล่มหนึ่ง จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นใกล้มือ

นี่มัน...กระบี่บินส่งสาร?

จั่วม่อหันมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่เลย ค่อยแน่ใจว่ากระบี่บินเล่มนี้มาหามัน เอื้อมมือไปยังกระบี่บินอย่างระมัดระวัง ทันทีที่นิ้วของมันแตะกระบี่บิน สุ้มเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในใจมัน

“มายังเรือนขิงหอม เวลายามเซิน” (ยามเซิน = 15.00 – 16.59 น.)

นี่เป็นเสียงของท่านอาจารย์สือฟ่งหรง

จั่วม่อหัวใจค่อยสงบระงับลง ก่อนหน้านี้มันถูกทรมานเจียนตายโดยนกกระเรียนกระดาษสีชมพู จนกระทั่งได้รับการปลดปล่อยในท้ายที่สุด แต่จั่วม่อผู้น่าสงสาร เส้นประสาทของมันกลายเป็นบอบบางและอ่อนไหวต่อสิ่งของประเภทนี้ยิ่ง

หลายวันมานี้ ซือฟู่ยังไม่ได้เรียกหามัน คาดว่าน่าจะให้เวลามันลงหลักปักฐานให้เรียบร้อยเสียก่อน

จั่วม่อตื่นเต้นไม่น้อย ฝีมือการหลอมกลั่นโอสถของซือฟู่ลึกล้ำมาก และตามคำของศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่ง เม็ดยาที่ซือฟู่ปรุงกลั่นขึ้น สามารถขายออกไปได้อย่างง่ายดายเสมอ ในช่วงเวลาที่ซือฟู่ออกเดินทางสัญจรอยู่ด้านนอก รายได้ของสำนักถึงกับได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

และตามบันทึกประสบการณ์ของผู้อาวุโสเว่ยหนานในม้วนหยก การหลอมกลั่นโอสถเป็นหนทางได้รับจิงสือรวดเร็วยิ่งกว่าเกษตรกรรม

รอจนกระทั่งถึงยามเซิน จั่วม่อก็มาถึงเรือนขิงหอม

นี่เป็นครั้งแรกที่มันมายังเรือนขิงหอม ผ่านเข้าไปในประตู มันเห็นศิษย์สตรีหลายนางกำลังทำงาน บางนางกำลังอบแห้งสมุนไพร บ้างก็กำลังจัดเรียง อีกหลายนางโคจรพลังปราณไว้ที่ฝ่ามือ กำลังช่วยกันบดสมุนไพรหลากหลายชนิด ในลานอันกว้างใหญ่แห่งนี้ มีศิษย์สตรีมากกว่าสี่สิบนางกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น

เห็นจั่วม่อเดินเข้ามา พวกนางล้วนหยุดชะงักสิ่งที่กำลังทำ

“ศิษย์พี่!”

“ศิษย์พี่!”

……

ทุกนางรีบค้อมคำนับทักทาย และลอบตรวจสอบศิษย์พี่ผู้นี้

ข่าวที่อาจารย์อาหญิงสี่รับศิษย์บุรุษผู้หนึ่งแพร่สะพัดไปทั่วเรือนขิงหอมอย่างรวดเร็วยิ่ง กลุ่มศิษย์สตรีเหล่านี้ได้สืบทราบภูมิหลังของจั่วม่อมาเป็นอย่างดี สิ่งที่ทำให้พวกนางรู้สึกสบายใจ ก็คือการที่จั่วม่อเคยช่วยเหลือเหล่าศิษย์สตรีดอยตะวันออก ซึ่งรับผิดชอบดูแลสัตว์ปราณ อีกทั้งไม่ใช่คนที่ชมชอบเกะกะระรานผู้อื่น พวกนางเองก็ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ฝ่ายนอกเช่นกัน ไม่ได้นับว่าเป็นศิษย์ของสือฟ่งหรงจริง ๆ หากเทียบกับจั่วม่อแล้ว สถานะของพวกนางห่างไกลจากมันมาก ย่อมไม่กล้าล่วงเกินมันแม้แต่น้อย

จั่วม่อตาลีตาเหลือก รีบคำนับกลับอย่างเร่งด่วน

เห็นท่าทีลนลานน่าอับอายของจั่วม่อ เสียงหัวร่อก็ดังขึ้นท่ามกลางเหล่าศิษย์สตรี

ศิษย์สตรีที่อยู่หน้าสุดหันขวับ กราดมองอย่างไม่พอใจไปยังศิษย์สตรีหลายนางที่หัวร่อ เสียงหัวร่อพลันชะงักขาดหายไปในทันที

“เข้ามา”

สุ้มเสียงของซือฟู่แว่วมาจากด้านใน บังเอิญปลดปล่อยจั่วม่อออกจากสถานการณ์กระอักกระอ่วนของมัน มันชิงหลบลี้หนีหน้าไปในทันที

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด