ตอนที่แล้วบทที่ 34 ศิษย์ฝ่ายใน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 36 พบกันอีกครั้ง

บทที่ 35 การค้นพบ


แมลงทองทมิฬเมื่อตกลงมาบนพื้นดิน ก็หมอบนิ่งไม่ไหวติง จากนั้นครู่หนึ่ง หนวดสองเส้นของมันค่อยเริ่มกระดิก พริบตาเดียวก็สั่นระรัวเป็นระลอกคลื่น ยื่นสำรวจออกไปรอบทิศทาง ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันเป็นถึงแมลงทองทมิฬระดับสี่ จั่วม่อสรรเสริญอยู่ในใจ เพียงประกายปัญญาอันเฉลียวฉลาดนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่แมลงปราณธรรมดาทั่วไปสามารถมีได้

สักครู่ต่อมา แมลงทองทมิฬยกหัวขึ้น ปลายหนวดสองเส้นด้านหน้าสั่นพลิ้วเล็กน้อย เริ่มคลานเร็วรี่บนพื้นดิน บางครั้งก็หยุดลง บางทีก็คลานช้า ๆ แต่ก็รุดหน้าไปเรื่อย ๆ จั่วม่อคอยร่ายเวทวิชาควบคุมอย่างระมัดระวัง พลางติดตามหลังมันไปอย่างกระชั้นชิด ไม่กล้าคลาดสายตาแม้แต่น้อย

นอกเหนือจากพื้นที่ท้องทุ่งปราณ ส่วนอื่น ๆ ของหุบเขาถูกครอบครองโดยวัชพืชชนิดต่างๆ นี่สร้างปัญหาให้จั่วม่ออยู่บ้าง มันรีบนำเอากระบี่ผลึกน้ำแข็งที่ซือเสียงมอบให้ออกมา ใช้กระบี่บินระดับสามถากถางเปิดเส้นทาง พอถือกระบี่ผลึกน้ำแข็งอันโปร่งใสไว้ในมือ มันสัมผัสกับความเย็นเยียบเสียดกระดูกชนิดหนึ่ง สิ่งที่ดีคือกระบี่คมมาก เหมาะสำหรับตัดไม้ฟันใบหญ้าได้เป็นอย่างดี

ทันใดนั้น แมลงทองทมิฬหยุดกึก แล้วจากนั้นมันก็เร่งความเร็วขึ้น มุ่งลึกเข้าไปในพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยพงหญ้าหนาทึบอย่างเร็วรี่

จั่วม่อกลายเป็นตื่นพร้อมในทันที!

มันกระชับกระบี่ผลึกน้ำแข็ง รีบไล่ติดตามไปจนทัน

สุดท้ายแมลงทองทมิฬมาหยุดนิ่งอยู่หน้าหินใหญ่ตระหง่านง้ำก้อนหนึ่ง จั่วม่อตามมาถึงในเวลาเดียวกัน มันหรี่ตามอง และเริ่มสำรวจก้อนหินมหึมาก้อนนั้น หินเป็นหินอัคนีธรรมดาสามัญก้อนหนึ่ง สูงราวห้าจั้งหรือหกจั้ง มองจากภายนอกไม่มีอันใดพิเศษ มิทราบว่ามีความลึกลับซ่อนอยู่ภายในหรือไม่?

จะอย่างไร นี่ก็เป็นสถานที่ส่วนตัวของมันแล้ว ไม่สำคัญว่ามันจะทำอย่างไรกับก้อนหินใหญ่ก้อนนี้ จั่วม่อขยับกระบี่ผลึกน้ำแข็งในมือให้กระชับแน่น แล้วลงมือขุดเข้าไปในเนื้อหิน

หินอัคนีอาจจะแข็ง แต่ต่อหน้ากระบี่บินระดับที่สาม มันอ่อนนิ่มไม่ผิดอันใดกับก้อนเต้าหู้ ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ จั่วม่อก็ขุดจนเป็นโพรงใหญ่ และเป็นไปเช่นที่คาดไว้ เจ้าแมลงทองทมิฬรีบไต่เข้าไปในโพรง จั่วม่อได้รับแรงกระตุ้นมากขึ้น มือของมันยิ่งขยับเร็วขึ้น

คาดไม่ถึงว่าหินก้อนนี้มีขนาดใหญ่กว่าที่มันคิด ขุดมาครึ่งชั่วยาม ขุดจนลึกเข้าไปเจ็ดจั้งแปดจั้ง ก็ยังขุดไปไม่ถึงก้นบึ้งอยู่ดี กล่าวถึงที่สุดจั่วม่อไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่ฝึกฝนกายา แขนสองข้างหนักอึ้งราวกับถ่วงด้วยแท่งตะกั่ว ทั้งร่างเจ็บร้าวแทบจะแหลกเป็นชิ้น ๆ

“ไม่มีทาง นี่มันทำให้ข้าถึงตายได้เชียวนะ” จั่วม่อทรุดร่างลงบนพื้น หอบหายใจอย่างหนักหน่วง พลางมองอย่างท้อแท้ไปยังแมลงทองทมิฬที่นอนหมอบอยู่ท้ายโพรง

“พี่น้อง เจ้าทุ่มเทจริง ๆ อ๊า แต่เกอไม่ไหวแล้ว ขุดต่อไม่ไหวแล้ว ขอนอนสักงีบก่อนเถอะ” จั่วม่อแสยะปากใส่แมลงทองทมิฬ เพียงกล่าวจบคำ มันก็ร่วงผล็อย หลับสนิทไปภายในโพรงที่ขุดขึ้นมานั่นเอง

ครั้นจั่วม่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มันก็พบเห็นเพียงความมืดมิดผืนหนึ่ง ลุกขึ้นนั่ง แสงจันทร์สาดส่องลอดปากโพรงเข้ามา ภายในโพรงสว่างเรืองเล็กน้อย เจ้าแมลงทองทมิฬยังนิ่งเงียบไม่ไหวติงอยู่ที่ก้นโพรง  รอยตรารูปเหรียญทองบนหลังมัน ส่องแสงสีทองจาง ๆ ท่ามกลางความมืดมนในโพรงหิน

รัตติกาลกรายมาแล้ว จั่วม่อปล่อยความคิดล่องลอยไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะคว้ากระบี่ผลึกน้ำแข็งขึ้นมาอีกครา

“ลุยกันต่อเถอะ พี่น้อง!”

ติ๊ง ติ๊ง ตง ตง ภายในหุบเขาลมตะวันตกได้ยินเสียงกระบี่ตัดหิน ดังต่อเนื่องราวกับไม่มีที่สิ้นสุด

จั่วม่อยังคงขุดดิ่งลึกเข้าไปราวกับมันเป็นเครื่องกลไก จนกระทั่งท้องฟ้ากลับกลายเป็นสว่างไสว อาบไล้ด้วยแสงตะวันอันละมุน มันพลันรู้สึกว่ากระบี่ผลึกน้ำแข็งขุดเข้าไปในอากาศว่างเปล่า หัวใจมันโลดขึ้นในฉับพลัน ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าปลิวหายวับไป!

เกร็งกำลังเพิ่มลงไปในมือ มันรีบขุดผ่านชั้นหินบางๆ ส่วนสุดท้าย พอทะลุเข้าไป เห็นหลังกำแพงหินเป็นโพรงใหญ่ดำมืดแห่งหนึ่ง

จั่วม่ออดไม่ได้ หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างดุเดือด

แมลงทองทมิฬไม่ลังเลแม้แต่น้อย รีบพุ่งเข้าไปในโพรงมืด หายตัวไปอย่างรวดเร็ว จั่วม่อกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ รีรออยู่ครู่หนึ่ง มือกระชับกระบี่แน่น เบียดตัวผ่านเข้าไปในโพรงมืด

โพรงมืดนั้นลาดต่ำลงเรื่อย ๆ ทั้งยังลึกกว่าที่มันคาดไว้ ยิ่งเดินลึกเข้าไป หัวใจก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ มีร่องรอยให้เห็นได้ชัดเจนว่าโพรงถ้ำเกิดจากฝีมือมนุษย์ แต่น่าจะผ่านมานานมากแล้ว เพราะในถ้ำเต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้นอันรุนแรง

เป็นผู้ใดเคยอาศัยอยู่ที่นี่? ใช่เป็นสุสานของผู้อาวุโสในสำนักสักคนหนึ่งหรือไม่?

การคาดเดานี้ทำให้มันตื่นเต้นมาก

จั่วม่อรีบเดินเข้าไปยังส่วนที่ลึกล้ำกว่า ระหว่างตัวมันกับแมลงทองทมิฬมีการเชื่อมโยงอันเบาบางสายหนึ่ง  ดังนั้นมันสามารถล่วงรู้สถานการณ์ต่าง ๆ ทางด้านหน้า

อย่างรวดเร็ว มันพบแมลงทองทมิฬอยู่ในความมืด รอยตรารูปเหรียญทองสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล แมลงทองทมิฬนอนหมอบอยู่บนกลุ่มก้อนอะไรสักกองหนึ่ง ไม่เต็มใจที่จะขยับตัวออกไปอีก

จั่วม่อกวาดตามองไปรอบๆ นี่เป็นห้องหินที่เรียบง่ายอย่างยิ่งห้องหนึ่ง มีน้ำพุแห่งหนึ่งอยู่ตรงมุมห้อง มีโต๊ะหินหนึ่งตัว เตียงหินอีกหนึ่งเตียง นอกนั้นไม่มีอะไรเลย

พอเข้าไปใกล้กว่าเดิม จั่วม่อพลันตกใจแทบสิ้นสติ!

เจ้าแมลงทองทมิฬที่แท้นอนหมอบอยู่บนกระดูกกองหนึ่ง!

จั่วม่อหัวใจเต้นรัวเร็ว ปากคอแห้งผาก พยายามข่มกลั้นความกลัวอันรุนแรง และเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ กองโครงกระดูกนี้ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด กระจัดกระจายไปตามพื้นดิน ดูจากลักษณะภายนอก คล้ายว่าผ่านกาลเวลามายาวนานไม่น้อย มันเหลียวมองรอบ ๆ ทันใดนั้นดวงตาก็กลายเป็นตะลึงจนพูดไม่ออก แล้วแทนที่ด้วยความเบิกบานใจ

ที่แท้ที่นี่เป็นสถานที่ตายของหนึ่งในบรรพชนของสำนักจริงๆ !

เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ จั่วม่อคว้าม้วนหยกหลายม้วนกับยุทธภัณฑ์เวทหลายชิ้นขึ้นมาจากพื้น ราวกับขอทานผู้หิวโหยจู่ ๆ ก็ได้พบเจออาหาร

ยุทธภัณฑ์เวทนั้นมีเพียงไม่เกินสามชิ้นห้าชิ้น อีกทั้งพวกมันไม่ได้รับการสนับสนุนจากพลังปราณมายาวนานเกินไป ดังนั้นสูญเสียประสิทธิภาพส่วนใหญ่ไปอย่างสิ้นเชิง หากเทียบกันแล้ว ม้วนหยกกลับมีจำนวนมาก ราว ๆ ยี่สิบม้วนหรือมากกว่าเล็กน้อย

จั่วม่อยังคงค้นหาไปทุกซอกทุกมุม ไม่ยอมให้มีสิ่งใดหลุดรอดสายตา จากนั้นดวงตาของมันค่อยวกกลับมายังกองกระดูกอีกครั้ง แมลงทองทมิฬนอนนิ่งบนกองกระดูก ไม่ไหวติงแม้แต่น้อย แต่รอยตรารูปเหรียญทองบนหลังมัน คล้ายจะสว่างวาบขึ้นเป็นระยะ

เมื่อสิ้นชีวิตอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าคนผู้นี้ต้องเป็นผู้อาวุโสรุ่นก่อน ๆ ของสำนัก ตัวมันเองเมื่อจะได้รับประโยชน์ใหญ่หลวงจากสิ่งเหล่านี้ ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จั่วม่อก็ทรุดลงโขกศีรษะสามหนให้กองกระดูก จากนั้นค่อย ๆ กลบฝังกองกระดูกไว้ที่มุมห้องด้านหนึ่ง

พอเคลื่อนย้ายกองกระดูกออกไป จั่วม่อค่อยค้นพบว่า ที่แท้ใต้ร่างโครงกระดูก มีเสื่อสมาธิอยู่ผืนหนึ่ง

เสื่อสมาธิ... ...

มันเหม่อมองอย่างเลื่อนลอย

เสื่อสีขาวผืนนี้เกือบเหมือนกันกับเสื่อที่ศิษย์พี่ผู้ไม่ทราบนามผู้นั้น ทิ้งไว้ในห้องสันโดษที่บ้านน้อยของจั่วม่อ

ราวกับได้รับแรงบันดาลใจบางอย่าง จั่วม่อรีบนำม้วนหยกที่เก็บมาทั้งหมด ออกมาวางเรียงรายไว้เบื้องหน้า แล้วประจุพลังปราณลงในม้วนหยกทีละม้วน ทีละม้วน หลังจากนั้นสักครู่ ค่อยเข้าใจเหตุและผลอย่างทะลุปรุโปร่ง

ห้องศิลาแห่งนี้เป็นที่พำนักของผู้อาวุโสท่านหนึ่งของสำนักจริง ๆ แต่ผู้อาวุโสท่านนี้ ที่แท้เป็นเพียงศิษย์ฝ่ายนอกผู้หนึ่ง และสิ่งที่ทำให้จั่วม่อรู้สึกเหลือเชื่อที่สุด คือผู้อาวุโสที่อยู่ในสถานะศิษย์ฝ่ายนอกมาตลอดท่านนี้ ถึงกับเกือบจะบรรลุเข้าสู่ด่านจินตัน ทั้งยังเป็นเจ้าของคนเดิมของบ้านน้อยของจั่วม่ออีกด้วย!

เรื่องราวในโลกล้วนพิสดารพันลึกอย่างแท้จริง!

จั่วม่อนั่งลงอย่างซึมเซา อดทอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ ศิษย์พี่ผู้นี้เรียกว่าเว่ยหนาน เป็นศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักเมื่อสามร้อยปีก่อน

        (เว่ยหรือวุ่ย คำเดียวกับวุ่ยก๊กของโจโฉ หนานแปลว่าทิศใต้)

        ศิษย์พี่เว่ยหนานผู้นี้มีความสามารถพิเศษประการหนึ่ง คือมันมีความรู้สึกไวต่อเส้นชีพจรปราณปฐพีอย่างยิ่งยวด กระทั่งเส้นชีพจรปราณปฐพีที่อ่อนแอจุดนั้นก็ยังสามารถค้นพบได้ จากนั้นมันสร้างบ้านน้อยหลังนั้น และตั้งใจฝึกปรืออย่างอุตสาหะ น่าเสียดายที่มันแม้ว่าจะอาศัยเส้นชีพจรปราณปฐพีย่อย แต่กลับไม่มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียร ผลที่ได้จึงเพียงแค่แทบจะเทียบเท่าศิษย์อื่น ๆ เท่านั้น

เว่ยหนานมีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ ไม่ต้องการมีชีวิตที่เรียบง่าย ดังนั้นเค้นสมอง ระดมกำลังความคิด ไขว่คว้าหาวิธีการหลากหลายมากมาย

ในหลาย ๆ ด้าน ศิษย์พี่เว่ยหนานมีส่วนคล้ายคลึงกับจั่วม่อไม่น้อย เว่ยหนานยังคงเลือกเกษตรกรปราณเป็นหนทางสู่ความมั่งคั่งที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม พรสวรรค์ในด้านห้าธาตุของมันไม่เทียบเท่าจั่วม่อ มันต้องใช้เวลาไปถึงห้าปี มิหนำซ้ำยังแทบจะไม่สามารถผ่านเกณฑ์เป็นเกษตรกรปราณได้

ศิษย์พี่เว่ยหนานไม่ได้บอกต่อผู้ใดว่ามันกลายเป็นเกษตรกรปราณ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มันก็เริ่มร่ำเรียนวิธีหลอมกลั่นโอสถ แต่กระทั่งความสามารถในการหลอมกลั่นโอสถ ก็ยังธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง หลังจากมานะบากบั่นอยู่สิบปี ในท้ายที่สุดมันค่อยหลอมกลั่นโอสถปราณระดับที่สี่สำเร็จ

การบำเพ็ญเพียรของเว่ยหนานคืบหน้าเชื่องช้าอย่างยิ่ง แต่ความสามารถพิเศษเฉพาะตัวกลับพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งสามารถตรวจจับเส้นชีพจรปราณปฐพีที่ฝังลึกอยู่ใต้พื้นดินได้ ตอนที่อายุได้สามสิบเจ็ดปี มันก็ค้นพบเส้นชีพจรปราณปฐพีเส้นนี้

หากสำนักล่วงรู้เรื่องนี้เข้า เกรงว่าคงไม่พ้นถูกริบคืนไป ดังนั้นมันสร้างห้องศิลาขึ้นมาปกปิดอย่างเงียบเชียบ

อาศัยเส้นชีพจรปราณปฐพีอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยปราณธรรมชาติ ในที่สุดมันเข้าสู่ด่านหนิงม่ายตอนอายุสี่สิบปี จนถึงยามนั้นมันก็ยังคงเป็นศิษย์ฝ่ายนอก

เว่ยหนานกลับเป็นอัจฉริยะในการปกปิดและหลอกลวง ถึงกับไม่มีผู้ใดในสำนักล่วงรู้ว่ามันบรรลุด่านหนิงม่ายแล้ว เนื่องจากความจริงที่ว่าตัวมันเองมีพรสวรรค์เพียงปานกลางเท่านั้น มันหวั่นเกรงว่าพลังฝึกตนด่านหนิงม่ายของมันจะเป็นเหตุให้ผู้อาวุโสในสำนักเกิดความสงสัย จากนั้นจะนำไปสู่การค้นพบเส้นชีพจรปราณปฐพีของมัน มันจึงยินดีที่จะเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่อย่างสงบเสงี่ยม

หลังจากทำงานอย่างอุตสาหะมานานหลายปี มันพอจะมีความมั่งคั่งอยู่บ้าง ดังนั้นเฝ้าซื้อหาสะสมม้วนคัมภีร์หยกทุกชนิด สิ่งที่มันเรียนรู้ทั้งกว้างขวาง ทั้งครอบคลุม ทั้งมากมายหลากหลาย

เว่ยหนานไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ในช่วงเวลานั้นพลังปราณของมันพลันก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว มันเบิกบานใจอย่างยิ่ง และยิ่งทุ่มเทเก็บสะสมม้วนคัมภีร์หยกทุกชนิด ยิ่งม้วนหยกแปลกพิสดารมากเท่าใด มันก็ยิ่งลุ่มหลงงมงายมากขึ้นเท่านั้น และไม่ว่าม้วนคัมภีร์หยกจะแปลกประหลาดเพียงใด มันจะต้องลองพยายามฝึกปรืออย่างน้อยหนสองหนเสมอ

ครั้นเมื่อเว่ยหนานอายุครบห้าสิบปี จำนวนเวทวิชาและเคล็ดวิชาที่มันต้องฝึกปรือในแต่ละวัน ถึงกับนับรวมกันได้สิบห้าวิชาทีเดียว

ในช่วงเวลานั้นเอง มันก็ทราบว่าไม่มีความหวังเข้าสู่ด่านจินตัน และล้มเลิกความใฝ่ฝันของมันไป จากนั้นใช้เวลาในอีกยี่สิบปีต่อมา เริ่มจัดระเบียบและศึกษาม้วนหยกแปลก ๆ อันหลากหลาย ร่ำเรียนเคล็ดวิชาทั้งหมดที่เก็บสะสมไว้

แม้พลังฝึกตนของมันติดอยู่แค่ด่านหนิงม่าย แต่ขอบเขตความรอบรู้และความเชี่ยวชาญเวทวิชากว้างไพศาล น้อยคนนักที่จะสามารถเปรียบเทียบกับมันได้ มิหนำซ้ำมันยังพากเพียรฝึกปรือหลากหลายเคล็ดวิชาที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักเป็นเวลาถึงยี่สิบปี และได้รับข้อสรุปมากมาย ทั้งยังเฝ้าวิเคราะห์เปรียบเทียบเคล็ดวิชาที่แตกต่างกัน ในที่สุดกลั่นกรองจนเหลือเฉพาะเนื้อความสำคัญ และสามารถจัดระเบียบวิชาความรู้ที่สะสมมาจนตลอดชีวิตได้สำเร็จ

ทั้งหมดรวบรวมไว้ในม้วนหยกยี่สิบม้วน ไม่มีนามเรียกขาน ไม่มีสิ่งใดลึกล้ำจนเกินไป ถือเป็นสิ่งสุดท้ายที่เว่ยหนานเหลือทิ้งไว้ในโลกใบนี้

ค่อย ๆ วางม้วนหยกลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง จั่วม่อเต็มไปด้วยความเคารพผู้อาวุโสเว่ยหนาน มันหยิบฉวยเสื่อสมาธิผืนนั้นขึ้นมา เดินไปยังตาน้ำพุ ใช้น้ำล้างทำความสะอาดเสื่ออย่างพิถีพิถัน แม้ว่าจะผ่านมานานหลายปีแล้ว หลังจากทำความสะอาดเล็กน้อย เสื่อสมาธิก็ฟื้นฟูสภาพดุจหิมะขาวกระจ่างตามเดิมของมัน

เสื่อสมาธิผืนนี้ไม่ใช่ของสามัญทั่วไป ถักทอขึ้นจากหญ้ากรรมฐานทั้งผืน ทั้งมีผลทำให้จิตใจสงบ ทั้งไม่เน่าเปื่อยผุพัง ไม่ถูกแมลงกัดแทะมานานหลายร้อยปี เสื่อผืนนี้ทั้งล้ำค่าและหายากยิ่งกว่าเสื่อผืนที่อยู่ในบ้านน้อยของมันเสียอีก

จากนั้นจั่วม่อวางเสื่อสมาธิกลับคืนเข้าที่เดิม แล้วนั่งลงบนเสื่อ

พลังปราณธรรมชาติอันหนาแน่นแทบจะไหลผ่านเข้าไปในผิวของมัน!

จั่วม่อเข้าสู่สภาวะฌานอย่างรวดเร็ว ร่างนิ่งสงัดไม่ไหวติง ด้านข้างเสื่อ แมลงทองทมิฬตัวน้อยก็นอนหมอบไม่ไหวติงเช่นเดียวกัน นิ่งสงบอย่างผิดธรรมชาติ มีเพียงรอยตรารูปเหรียญทองบนหลังมัน ที่ส่องประกายสีทองแวววาวตลอดเวลา

ครั้นเมื่อถอยออกจากฌาน จั่วม่อไม่อาจปิดบังความปลาบปลื้มในดวงตามันไว้ได้ เส้นชีพจรปราณปฐพีแห่งนี้ หากเทียบกับเส้นชีพจรปราณปฐพีย่อยที่บ้านน้อยของมัน ถึงกับเหนือล้ำกว่ามาก! หากเส้นชีพจรปราณปฐพีย่อยในห้องสันโดษ สามารถกล่าวว่าเป็นกิ่งก้านเล็ก ๆ กิ่งหนึ่งแล้ว เส้นชีพจรปราณปฐพีในห้องหินนี้สมควรเป็นลำต้น เป็นต้นกำเนิด!

พลังปราณธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์นี้ ทำให้มันสุขสราญจนแทบไม่อาจควบคุมตนเอง

ด้วยเส้นชีพจรปราณปฐพีคุณภาพเยี่ยมเช่นนี้ มันสมควรเข้าสู่ด่านจู้จีในอีกไม่นาน จั่วม่อตกลงใจว่าต่อไปห้องศิลาแห่งนี้ เป็นห้องสันโดษสำหรับบำเพ็ญเพียรของมัน!

เมื่อจั่วม่อเบียดผ่านโพรงหินออกมา แสงอาทิตย์อันแรงกล้าภายนอกทำให้ต้องหรี่ตาลงโดยไม่ได้ตั้งใจ มันหมุนตัวกลับ และทำการปิดบังอำพรางปากโพรงอย่างระมัดระวัง จากนั้นโกยเศษหินทิ้งกระจัดกระจายไปในพงหญ้า ไม่เหลือร่องรอยใดไว้ให้เห็น

หลังจากเสร็จสิ้นเรียบร้อย ค่อยระบายลมหายใจยาว

ครั้นเมื่อย้อนกลับไปยังปากทางหุบเขา หลี่อิงฟ่งมาเสาะหามันพร้อมผู้คนจำนวนมาก เนื่องจากไม่มีบ้านพักอาศัยอยู่ในหุบเขาลมตะวันตก หากจั่วม่อจะมาอาศัยอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ จะต้องสร้างบ้านหลังใหม่ นางย่อมเป็นผู้รับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ ดังนั้นมาถามไถ่จั่วม่อเป็นการส่วนตัว ว่ามันชมชอบอย่างไร ต้องการสิ่งใดบ้าง

หลังจากตั้งใจฟังความต้องการของจั่วม่อจนจบ นางก็โบกมือเป็นสัญญาณ จากนั้นเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกที่ติดตามมาก็เริ่มลงมือสร้างบ้านในทันที

ใช้เวลาเพียงครึ่งวัน บ้านหลังน้อยก็สร้างแล้วเสร็จ จั่วม่อตั้งนามให้แก่มันว่า ลานน้อยลมตะวันตก

นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ลานน้อยลมตะวันตกกลายเป็นบ้านใหม่ของมัน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด