ตอนที่แล้วบทที่ 30 ลูกคิด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 32 ปฏิเสธ

บทที่ 31 เลือก


ก่อนหน้านี้จั่วม่อเคยมายังตงฝูหลายครั้งหลายหน ทุกครั้งล้วนเที่ยวเดินชมสินค้าตามหน้าร้าน โดยไม่ค่อยเข้าไปซื้อหา แต่อย่างไรก็ตาม คราวนี้มาพร้อมกับสตรี ซ้ำยังเป็นฝูงสตรีที่เที่ยวเดินชมสินค้าตามหน้าร้านแทบทุกร้าน นี่จำเป็นต้องมีร่างกายที่เข้มแข็งอดทนอย่างยิ่ง บางทีอาจมีเพียงซิวเจ่อที่ฝึกฝนกายาเท่านั้นจึงจะทานทนไหว

มองพวกนางซื้อหาทุกสิ่งอย่างสำราญใจ จั่วม่อลอบหลบเร้นออกไปเงียบ ๆ

เริ่มแรกมันไปซื้อสินแร่ทองคำสำหรับเจ้าแมลงทองทมิฬ คราวก่อนผูเยากล่าวไว้อย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่จั่วม่อยังคงจดจำไว้ในใจอย่างมั่นคง

มันยังซื้อม้วนคัมภีร์หยกที่เต็มไปด้วยค่ายกลยันต์เวทขั้นพื้นฐาน แม้ว่าสำนักเองก็สอนเรื่องนี้ แต่ก็เพียงแค่ไม่กี่ชนิดเท่านั้น

ค่ายกลยันต์เวทเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนทุกคนต้องร่ำเรียน ไม่ว่าจะเป็นการหลอมสร้างอาวุธหรือการหลอมกลั่นโอสถ ล้วนแล้วแต่ต้องการความเข้าใจในค่ายกลยันต์เวทเป็นพื้นฐาน

จั่วม่อซื้อหาม้วนคัมภีร์หยกเพื่อประโยชน์ในการบุกเบิกทุ่งปราณด้วยตนเองในอนาคต และแม้ว่ามันจะสามารถใช้เพื่ออนาคตอันห่างไกล แต่ราคาของม้วนคัมภีร์หยกก็ย่อมเยาพอสมควร สิ่งที่มีราคาแพงจริงๆ  กลับเป็นสินแร่ทองคำก้อนนั้น ยี่สิบชิ้นจิงสือระดับที่สอง มากพอที่จะทำให้มันต้องปวดร้าวใจอยู่เป็นนาน แต่สุดท้ายยังคงตัดสินใจซื้อมา

ทัศนคติของจั่วม่อในเวลานี้แตกต่างไปจากเดิม ก่อนนี้ในสายตามีแค่เพียงจิงสือ ยามนี้แม้มันยังคงชื่นชอบจิงสือไม่เปลี่ยนแปลง แต่ให้ความสำคัญกับอนาคตมากขึ้น

หลังจากอาจารย์อาหญิงสี่ชี้ทางกระจ่างให้ มันก็เข้าใจชัดเจน ว่าไม่อาจย้อนคืนกลับไปเป็นเช่นในอดีตได้อีก ความใฝ่ฝันอันเรียบง่ายเหล่านั้น ล้วนล่มสลายลงอย่างสมบูรณ์ ไม่มีวันหวนกลับมา มันได้แต่เดินไปตามถนนที่มิอาจทราบจุดหมายปลายทาง จะมีสิ่งใดรออยู่เบื้องหน้า? จะถูกเชือดเนื้อเถือหนังหักกระดูกร่างแหลกเละ? จะค้นพบคำตอบที่ใฝ่หาหรือไม่? มันล้วนไม่ทราบ

สิ่งที่ดูคล้ายแปลกใหม่เร้าใจในอดีต กลับกลายเป็นจืดชืดหม่นหมองในยามนี้

ครู่หนึ่งจั่วม่อพบบริเวณอันเงียบสงบให้นั่งลงพัก มันเริ่มหวนคิดไปถึงปราณกระบี่ที่ปลดปล่อยออกมาในครั้งสุดท้าย ไม่มีใครสอนมัน แม้แต่ผูเยายังให้เรียนรู้ด้วยตนเอง แต่สำหรับผูเยา มันได้แต่รู้สึกขอบคุณ ถ้าไม่มีผูเยา มันกระทั่งโอกาสที่จะเริ่มตามหาคำตอบยังไม่มี

ตอนนี้เมื่อมีโอกาสแล้ว จะไม่หวงแหนไว้ได้อย่างไร?

จั่วม่อไม่เคยตระหนักเลยว่าร่างกายมันเป็นร่างกายที่ผ่านการแปรสภาพมา มันจู่ ๆ ก็เข้าใจความรู้สึกบางส่วนของศิษย์พี่เหวยเสิ้ง มันคือความลุ่มหลงงมงาย งมงายจนถึงขั้นแม้ตายก็ไม่เสียใจ! ทุกครั้งที่มันนึกถึงรูปโฉมที่ถูกเปลี่ยนแปลง กับจิตใจที่ถูกลบล้าง ใบหน้าแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ของมันจะถูกเผาไหม้ด้วยความเจ็บปวด ราวกับว่ากำลังเตือนสติมัน ให้ระลึกถึงมือคู่หนึ่งที่ทำลายใบหน้ามัน มือคู่เดียวกันนี้ยังลบล้างจิตใจมัน ทำลายความทรงจำของมัน การเผาไหม้นี้ยังเจาะลงไปจนถึงไขกระดูกของมัน ทำให้มันไม่สามารถทนต่อเส้นทางชีวิตอันอันสับสนไร้จุดหมายของตนเองได้อีกต่อไป

มันต้องการทราบคำตอบ!

จั่วม่อทราบกระจ่างว่าจุดเริ่มต้นของมันต่ำมากเพียงไหน จึงไม่ต้องการเสียเวลาอีกแม้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม มันจะทุ่มเททุกวิถีทาง ระดมกำลังความคิด ใช้ไหวพริบความหลักแหลมทั้งหมดที่มี เพื่อทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น เพื่อทำให้ตัวมันมีพลังอำนาจมากยิ่งขึ้น --- มันต้องการคำตอบ!

ในมุมหนึ่งของถนนที่วุ่นวาย จั่วม่อนั่งท่าดอกบัว เฝ้าขบคิดอย่างเงียบงัน

ในทะเลเพลิงคำราม ผูนั่งบนป้ายหินสุสาน ทอดอารมณ์ฟังอินกุยอย่างเกียจคร้าน

เหล่าศิษย์สตรีในที่สุดเสร็จสิ้นการซื้อหาสิ่งของจำเป็น ใบหน้าของพวกนางเต็มไปด้วยความพึงพอใจ จั่วม่อค่อยระบายลมหายใจอย่างโล่งอก แทบทนรอไม่ไหวอยากจะแล่นกลับไปเสียเดี๋ยวนี้ ประสบการณ์ประมือที่เพิ่งได้รับ ทำให้มันได้ลิ้มรสชาติของพลังอำนาจเป็นครั้งแรก ในใจร้อนรนอยากฝึกฝนอย่างเต็มที่แล้ว

แต่เพื่อความปลอดภัยของศิษย์สตรีเหล่านี้ มันยังคงนั่งอยู่บนหลังเสี่ยวหวง ติดตามพวกนางไปอย่างสบายๆ แต่มันยังฉกฉวยทุกช่วงเวลา กระทำในสิ่งที่พอจะฝึกฝนได้ไปพลางๆ

ครั้นกลับถึงบ้านหลังน้อยของมัน สิ่งแรกที่จั่วม่อทำ คือนำแมลงทองทมิฬใส่รวมกับก้อนสินแร่ทองคำที่ซื้อมา จากนั้นขุดหลุมเล็กๆ ข้างเส้นชีพจรปราณปฐพีย่อย ฝังพวกมันไว้ด้วยกัน

หลังจากกลบฝังเรียบร้อย มันรีบเข้าสู่ทะเลแห่งจิตสำนึกของตน หันไปหาผูเยา กล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “ผู มาต่อกันเถอะ!”

คิดไม่ถึงว่าผูเยากลับย้อนถามเสียงเกียจคร้าน “ต่ออันใด? ทำอันใดต่อ?”

จั่วม่อยืนเซ่อไปวูบหนึ่ง ก่อนจะรีบฟื้นคืนสู่ความเยือกเย็น “บอกเถอะ เงื่อนไขคืออะไร?”

“เฮะ เฮะ ข้าละชอบพูดคุยกับคนฉลาด มันช่างสะดวกสบายเสียจริง” ผูเยายิ้มบางๆ ยืดตัวนั่งตรง “นี่ก็ถูกต้องแล้ว ที่ไหนในโลกมีอาหารกินเปล่า? เฮะ เฮะ ข้าต้องการดวงวิญญาณ”

“ดวงวิญญาณ?” จั่วม่อใจหล่นวูบ หวาดผวาขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ผูเยาดูผ่อนคลาย น้ำเสียงที่กล่าวยังปราศจากเค้าความกังวล “ดวงวิญญาณเป็นสิ่งวิเศษ รสชาติสดใหม่ เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเลือดหรือเนื้อมนุษย์ ล้วนไม่อาจเปรียบเทียบได้”

กล่าวไปกล่าวมาไม่กี่คำ จั่วม่อก็ขวัญหนีดีฝ่อแล้ว ในใจมันช่วยไม่ได้ต้องนึกถึงเหล่าภูติผีปิศาจขึ้นมา กัดกินเนื้อมนุษย์ดิบๆ ฉีกดึงเส้นเอ็น ดูดกลืนไขกระดูก เขมือบดวงวิญญาณ สำหรับซิวเจ่อที่ใฝ่ฝันจะเป็นเกษตรกรปราณเยี่ยงมัน สิ่งของอย่างดวงวิญญาณ เพียงพอจะทำให้มันแตกตื่นตระหนกจนขนลุกชันได้

“ไม่มีทาง!” มันบอกปัดอย่างเฉียบขาด เจ้าบ้าผูเยานี่เป็นภูติผีปิศาจจริงๆ เสียด้วย!

แม้ว่ามันปรารถนาพลังอำนาจ แต่มันย่อมไม่ต้องการตกเป็นทาสของพลังอำนาจ!

“เจ้าไม่อยากร่ำเรียนกระบี่แล้วหรือ? เฮะ เฮะ นอกเหนือจากกระบี่แล้ว ข้ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่สามารถสอนเจ้า ข้ามียุทธภัณฑ์เวทมากมาย เฮะ เฮะ ตราบเท่าที่เจ้าเสาะหาดวงวิญญาณดีๆ มาได้ เจ้าสามารถแลกเปลี่ยนได้ทุกอย่างที่ต้องการ... ...” ลิ้นสีแดงสดของผูเยาแลบออกมาเลียริมฝีปาก น้ำเสียงเต็มไปด้วยแรงดึงดูดใจ

“ไม่มีทาง!” จั่วม่อจู่ ๆ ก็ผ่อนคลาย มันนั่งลงเผชิญหน้ากับผูเยา กล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่สนใจสังหารผู้คน”

“อ้อ?” ผูเยาเลิกคิ้ว ดวงตาหรี่แคบลง “เจ้าคิดดีแล้ว? ชีวิตผู้อื่น มีคุณค่าเทียบเท่าชีวิตของเจ้าเองหรือ? เฮะเฮะ ที่จริงการฆ่าใครสักคนไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่เจ้าคิด โอ้ แค่วิญญาณเพียงดวงเดียว จากนั้นข้าจะช่วยให้เจ้าบรรลุความเข้าใจที่ดีในเจตจำนงกระบี่ แล้วยังสามารถสอนสิ่งอื่นอีกมากมาย”

“ข้าทราบว่าเจ้าไม่มีความตั้งใจดีงาม” จั่วม่อเขม้นมองผูเยาไม่วางตา กล่าวอย่างเย็นชา “แต่เจ้าผิดแล้ว น่าเสียดายที่เจ้าดีดลูกคิดรางแก้วไม่ดังหรอก”

ผูเยายังคงหัวร่อฮิฮะ

ทันใดนั้น จั่วม่อพลันรู้สึกร่างกายแข็งทื่อ ขยับเขยื้อนไม่ได้

“ข้าผิดหรือ?” ผูเยาจู่ๆ ก็ตะเบ็งเสียง

“เฮะเฮะ กี่ปีมาแล้ว ไม่เคยมีผู้ใดกล้าบอกว่าข้าผิดต่อหน้าต่อตาข้า!”

มันค่อยๆ เยื้องย่างไปยังเบื้องหน้าจั่วม่อผู้มิอาจขยับแม้แต่ปลายนิ้ว มือเย็นเฉียบกำรอบคอของจั่วม่อ “หวาดกลัวแล้วหรือไม่? เฮะเฮะ ประเสริฐ! ข้าเคยทดลองมาหลายรูปแบบ พบว่าความกลัวเป็นเครื่องปรุงที่ดีที่สุดสำหรับทุกดวงวิญญาณ เจ้าทราบหรือไม่? ดวงวิญญาณที่ตายไปพร้อมกับความประหวั่นพรั่นพรึงอย่างใหญ่หลวง มันราวกับสุราเลิศรสที่หมักบ่มอย่างพอเหมาะพอดีที่สุด เพียงได้ลองลิ้มรสสักหน โอ้ จะไม่มีวันลืมรสชาตินั้นลง”

นิ้วเย็นเยือกขยุ้มกดลงบนเส้นเลือดรอบคอจั่วม่อ ผูเยาสีหน้าร่าเริงเบิกบานใจ ดวงตาสีแดงเลือดทอประกายคลุ้มคลั่ง

จั่วม่อสั่นสะท้านไปทั้งร่าง มันพร่ำบอกตัวเองว่าไม่ต้องกลัว แต่ความหวาดกลัวประหนึ่งตาน้ำพุผุดพลุ่งขึ้นมาไม่หยุดยั้ง ไม่มีปัญญาอุดขวางไว้ได้ ทะลักทลายออกมาอย่างคึกคัก และไม่ว่ามันจะพยายามสักเท่าใด ร่างกายของมันยังขยับไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว

“การดิ้นรนไม่มีประโยชน์หรอก” ผูเยายังคงแย้มยิ้ม ดวงตาเย็นยะเยียบ “ความโฉดเขลาของเจ้าทำให้ข้าผิดหวังเสียจริง เจ้าไม่ทราบหรือไร? สัตว์เลี้ยงต้องสำนึกตัวอยู่เสมอว่าพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยง!”

จั่วม่อชิงชังความรู้สึกเยี่ยงนี้แทบตาย

ถูกจัดการตามใจชอบ ถูกควบคุมตามอำเภอใจ ร่างกายไม่ฟังคำสั่ง... ...

จั่วม่อในใจคล้ายมีบางสิ่งลุกวาบ ความหวาดกลัวถูกถมทับด้วยโทสะอย่างรวดเร็ว เลือดในกายคล้ายเดือดพล่าน มันอดสบถออกมาไม่ได้ “ไปตายซะ!”

“เดรัจฉานน้อยที่ดื้อดึงนัก” ผูเยาแย้มยิ้มพลางส่ายหน้า มือขวาออกแรงบีบช้าๆ

“อ๊า!” จั่วม่อกรีดร้องสุดเสียง ตัวตนของมันคล้ายถูกขยุ้มตรึงด้วยอุ้งหัตถ์ล่องหนข้างหนึ่ง ร่างกายบิดเบี้ยวเป็นรูปร่างแปลกๆ

ความเจ็บปวดระเบิดขึ้นในร่าง ราวกับถูกเข็มบาง ๆ นับไม่ถ้วนทิ่มแทงทะลุตลอดทั้งกาย สติสัมปชัญญะเริ่มเลอะเลือนมึนงง

ในชั่วขณะนี้เอง กระแสความอบอุ่นอันคุ้นเคย พลันพลุ่งออกมาจากภายในทรวงอกของจั่วม่อ ตรงเข้าต่อต้านหัตถ์ที่มองไม่เห็นข้างนั้น

“ต้องการสอดมือเข้ามาหรือ?” ผูเยาทำท่าราวกับพบเห็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่ซุกซนตัวหนึ่ง มุมปากมีรอยยิ้มจางๆ

ทันใดนั้น ร่างมันพลันหายวับไปจากจุดเดิม ปรากฏขึ้นด้านหลังของจั่วม่อ หัตถ์ขวาทะลวงเข้ากลางหลัง ทะลุกลางอกของจั่วม่ออย่างง่ายดาย!

จากนั้นดึงมือกลับออกมาด้วยท่าทีสบายๆ ระหว่างนิ้วของมันปรากฏลูกปัดห้าสีลูกหนึ่ง

ลูกปัดนี้มีขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว ดูคล้ายแก้วผลึกสีรุ้งชิ้นหนึ่ง เห็นกลุ่มแสงสดใสหมุนวนอยู่ภายใน

เพ่งพิศลูกปัดน้อยอย่างไม่เร่งร้อนอยู่ชั่วอึดใจ ผูเยาพึมพำกับตัวเอง “เป็นเจ้าสิ่งนี้เอง” จากนั้นเกร็งกำลัง ตั้งท่าจะบดขยี้ลูกปัดให้แหลกลาญ

ช่วงเวลานี้เอง มือของมันจู่ๆ ก็ชะงักกึกอย่างกะทันหัน

ทันใดนั้น เส้นใยควันดำแพร่กระจายออกมาจากป้ายหินสุสาน เชื่องช้าทว่ารวมตัว เพียงชั่วกระพริบตาเดียว ท้องฟ้าเหนือทะเลแห่งเปลวเพลิง ก็ปกคลุมเต็มไปด้วยเมฆดำทะมึน

กลุ่มเปลวเพลิงที่เต้นเร่า ดูราวกับค่อนข้างหวาดกลัวเมฆหมอกสีดำเหล่านี้ พากันหดตัวลง บังเกิดเป็นสภาพอันยากจะพบเห็น ดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า ยังถูกเมฆหมอกสีดำดูดกลืนแสงไปจนแทบดับลง

ผูเยายืนซึมเซา นิ่งอึ้งไม่ไหวติง ดวงตาสีแดงเลือดทอประกายอารมณ์ความรู้สึกอันซับซ้อนถึงขีดสุดประการหนึ่ง คล้ายปิติ คล้ายเศร้าสร้อย คล้ายโหยหา คล้ายกราดเกรี้ยว... ...

เนิ่นนานให้หลัง ค่อยเอ่ยปากแทบเป็นเสียงกระซิบ

“เจ้าต้องการเลือกเศษสวะผู้นี้จริงๆ?”

เมฆดำถาโถมเป็นวงกว้าง ม้วนตลบเป็นชั้น ๆ ทะเลเพลิงคำรามประหนึ่งถูกสะกดข่มไว้ เกือบจะดับมอดลง ดวงดาวเดียวดายที่กลางฟ้า ก็แทบจะจางหายไปอย่างสมบูรณ์

ผูเยายืนนิ่งงันดุจต้นไม้ตายซาก ราวกับไม่มีส่วนร่วมใดๆ กับเรื่องราวเบิ้องหน้า

เมฆดำยิ่งหนาหนักขึ้นเรื่อยๆ ตลอดทั้งทะเลแห่งจิตสำนึก ยามนี้กลายเป็นแผ่นผืนสีดำสนิทผืนใหญ่ผืนหนึ่ง มืดมนอนธกาลถึงขีดสุด ต่อให้ยื่นมือออกไปยังมองไม่เห็นกระทั่งนิ้วมือตัวเอง

ทันใดนั้น ผูเยาพลันหัวเราะเยาะหยัน ดวงตาขวาสีเลือดทอประกายวาบ “เจ้ามิใช่ไม่ทราบ ต้องการเกลี้ยกล่อมข้าไม่ใช่เรื่องง่ายดาย”

รอบข้างเงียบสงัด เมฆดำไม่มีปฏิกิริยา ทั้งสองฝ่ายต่างอยู่ในภาวะชะงักงัน

เวลาผ่านไปนานเท่าใดมิทราบ ประกายวาววามในดวงตาสีเลือดของผูเยาค่อยอ่อนแสงลง มันจู่ๆ ก็หัวร่อเบาๆ และด้วยอารมณ์ของทุกเพศทุกวัย มันอดยักไหล่ไม่ได้ “เป็นเช่นนี้เสมอ น่าเบื่อหน่ายเสียจริง”

ผูเยาดีดดัชนี ลูกปัดแก้วในมือพุ่งกลับเข้าไปในร่างของจั่วม่อ

เพียงชั่วกระพริบตาเดียว เมฆดำกลายเป็นใสกระจ่างในบัดดล ปราศจากร่องรอยอันใดให้ค้นพบอีก

ทะเลเพลิงหลุดพ้นจากการถูกข่มขู่ เริ่มโหมไหม้อย่างดุเดือดอีกครั้ง ดวงดาวเดียวดายดวงนั้นก็ทอแสงออกมาดังเดิม

ผูเยาเพ่งพิศป้ายหินสุสานอยู่เนิ่นนาน ไม่ได้เอ่ยคำใดอีก

จั่วม่อค่อยๆ ตื่นขึ้นมา ทันทีที่ลืมตา ก็รีบสำรวจร่างกาย เมื่อเห็นว่าไม่ได้รับอันตราย ในที่สุดก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ไฉนผูเยาจึงยอมปล่อยมัน?

ขณะที่มันยังคงงงงวยไม่คลาย ผูเยาก็ปรากฏตัวขึ้น

“กว่าเจ้าจะตื่นขึ้นมาได้ ใช้เวลานานจนน่าเวทนาเสียจริง” ผูเยาสีหน้าเต็มไปด้วยการเย้ยหยัน “จิตวิญญาณช่างอ่อนแอกระไรเช่นนี้ เดิมทีข้าอยากจะเล่นต่ออีกสักหน่อย ข้าไม่ได้เล่นเจรจาต่อรองมาร่วมสองสามพันปีแล้วกระมัง ไม่นึกว่าเจ้าจะอ่อนแอจนทำเอาข้าหมดสนุกเช่นนี้ แต่คิดอีกทีก็เป็นเรื่องปกติละนะ กับคนที่ไม่มีทั้งโฉมหน้าของตัวเอง ไม่มีทั้งจิตใจดั้งเดิม หัวใจก็ย่อมอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด ข้าละอดสงสารไม่ได้จริงๆ”

จั่วม่อเงียบกริบ กำหมัดแน่นโดยไม่รู้สึกตัว

“เอาเถอะ จะว่าไป ที่นี่ก็มีสถานที่หนึ่งที่มีดวงวิญญาณอยู่ และเจ้าก็ไม่ต้องฆ่าคน แต่มันอันตรายมาก ว่าอย่างไร? สนใจหรือไม่?” ผูเยาถามอย่างเนิบนาบ

“ที่ใด?” จั่วม่อถามอย่างอดขุ่นเคืองตัวเองไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรได้ คำพูดของผูเยาแทงใจมันตรงๆ

“เฮะเฮะ เจ้าไม่จำเป็นต้องทราบตอนนี้ แต่อย่าได้กังวล เจ้าไม่จำเป็นต้องฆ่าใคร เจ้าเพียงแค่ต้องตอบว่า เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย สำหรับเรื่องค่าแลกเปลี่ยน รอให้เจ้ามีเงื่อนไขเพียงพอเสียก่อน ข้าย่อมจะทำให้ทั้งเจ้าและข้าพึงพอใจ”

“ข้าเห็นด้วย” ไม่ต้องขบคิดให้มากความเกินไป จั่วม่อพยักหน้าทันที ตราบเท่าที่มันไม่ต้องฆ่าใคร มันย่อมไม่หวั่นเกรงอันตรายใด

มันไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว

“อ๊าย ในที่สุดเสร็จสิ้นข้อตกลงเสียที สำหรับกะอีแค่ดวงวิญญาณเพียงสองสามดวง ช่างเยิ่นเย้อน่ารำคาญเสียจริง การค้าขายเยี่ยงนี้ ไม่ได้ทำมานานเกินไป มือข้าตกไปมากจริงๆ” ผูเยาคร่ำครวญอย่างโศกเศร้า แต่น้ำเสียงเจนจัด

จั่วม่อไม่ทราบจะกล่าวอันใด

ผูเยาหันหน้ากลับมา “เช่นนั้น ขอหารือเกี่ยวกับข้อตกลงอื่นอีกสักหน”

“ข้อตกลงอื่น?” จั่วม่อเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ทั้งยังสับสนอยู่บ้าง

“จิงสือ ข้าต้องการจิงสือ!” ผูเยาหัวร่อฮิฮะ “ต้องการสัมผัสเจตจำนงกระบี่ใช่หรือไม่? สิบชิ้นจิงสือระดับที่สอง ต่อหนึ่งครั้ง เป็นไร ราคาถูกมากใช่หรือไม่?”

จั่วม่อตาเบิกกว้าง อ้าปากค้างไปแล้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด