ตอนที่แล้วบทที่ 16 เจตจำนงกระบี่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 18 น้ำแกง

บทที่ 17 ผู


จั่วม่อลืมตาตื่นอย่างช้า ๆ ศีรษะของมันยังคงเจ็บร้าวอยู่บ้าง แต่หากเทียบกับความเจ็บปวดราวกับถูกผ่าทั้งร่าง นับว่าดีขึ้นมากแล้ว

แต่พอหวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะสิ้นสติ ใบหน้ามันก็แปรเปลี่ยน

จั่วม่อถือเป็นบุคคลที่มีจิตใจกระจ่างแจ้งผู้หนึ่ง ภายใต้สถานการณ์ที่ยังมีสติและความคิดแจ่มชัด มันสามารถจัดระเบียบความคิด สรุปสาเหตุ และหาผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว และโดยไม่ต้องใคร่ครวญอันใดให้มากความ มันมั่นใจว่าเรื่องคราวนี้ เมล็ดผูกงอิงสีดำย่อมเป็นตัวการอย่างไม่ผิดพลาด

ผู้ที่ปลดปล่อยเจตจำนงกระบี่ออกมาล่อลวงมัน และผู้ที่ข่มขู่มัน ล้วนเป็นฝีมือของเจ้าเมล็ดผูกงอิงสีดำตนนั้น

คิดได้เช่นนี้ โทสะในใจจั่วม่อพลันลุกโหม

เจ้าผู้นี้พยายามจะเล่นกลปาหี่ในหัวมัน ช่างไม่ทราบว่าเจ้ากำลังตอแยผู้ใดอยู่จริง ๆ !

จั่วม่อค่อยนึกขึ้นมาได้ ก่อนที่จะหมดสติ มันคล้ายกล่าวอันใดบางอย่าง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเล็กน้อย มันใช่ไม่สามารถอดทน และยอมจำนนต่อเจ้าผู้นั้นหรือไม่?

พอนึกขึ้นมาได้ มันก็รีบสงบใจ และเข้าสู่ทะเลแห่งจิตสำนึกของมัน

ทันทีที่จั่วม่อเข้าถึงทะเลแห่งจิตสำนึก มันได้แต่ยืนตะลึงลาน

บนเนินเขาคล้ายลูกคลื่น เป็นป่าต้นไม้โบราณยืนตระหง่านง้ำ หญ้าเขียวปูลาดประหนึ่งผืนพรม แผ่กว้างกระจัดกระจายเป็นหย่อม ๆ ดอกไม้ป่าอันวิจิตรแทรกรวมกับผืนหญ้า  เพิ่มร่องรอยแห่งชีวิตแตะแต้มไปทั่ว

มันไม่ผิดอันใดกับเดินอยู่ในราวป่าอันงดงามสดชื่นแห่งหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ ทะเลแห่งจิตสำนึกของมันมีเพียงพื้นที่ช่องว่าง แต่ยามนี้ ภาพแห่งชีวิตชีวาและลมหายใจ บังเกิดอยู่ต่อหน้ามัน... ...

จั่วม่อถูกตรึงอยู่กับที่อย่างสิ้นเชิง เพียงยืนเหม่อมองอย่างโง่งม ภาพเบื้องหน้าเกินขอบเขตความเข้าใจของมันไปไกลโข

ครู่ใหญ่ต่อมา จั่วม่อเดินงง ๆ บนพื้นหญ้า รู้สึกถึงความนุ่มนวลของต้นหญ้าใต้ฝ่าเท้า กลิ่นหญ้าลอยเข้าเตะจมูก มันงงงวยยิ่ง นี่จะเป็นไปได้อย่างไร ตัวมันเป็นเพียงผู้ฝึกตนชั้นต่ำ ด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปดเท่านั้น ทะเลแห่งจิตสำนึกของมันไม่สมควรมีสภาพเยี่ยงนี้

เมื่อสายตาเลื่อนผ่านไปยังเนินเขาส่วนที่ไม่มีต้นไม้ มันค่อยรู้สึกตัวขึ้นมา

มัวครุ่นคิดไปไย สาเหตุย่อมต้องมีอยู่ที่ใดสักที่ จั่วม่อวิ่งสุดฝีเท้าตรงไปยังเนินเขาด้านนั้น

ที่นั่นเอง บุรุษอาภรณ์ดำผู้หนึ่งนั่งอยู่บนหลักศิลาจารึก กลุ่มเมฆดำหมุนวนรอบกายมัน มือข้างหนึ่งพาดบนขา มืออีกข้างเท้าคาง สีหน้ามันผ่อนคลาย ดูสบายอารมณ์ไม่น้อย

เมื่อเข้าไปจนใกล้ จั่วม่อในที่สุดได้พบเห็นรูปลักษณ์ของบุรุษชุดดำอย่างชัดเจน

ใบหน้าอันไร้ที่ติ!

จั่วม่อไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าบุรุษจะงดงามได้ถึงปานนี้

ใบหน้าสะคราญยิ่งอิสตรี สันจมูกโด่งสูง เรือนผมดำสนิทดุจขนนกกา ยาวเหยียดไปบนแผ่นหลัง ทั้งยังปิดคลุมดวงตาข้างซ้าย เห็นเพียงดวงตาขวายาวเรียว คมกริบประดุจคมมีด ลูกนัยน์ตาสีแดงเข้มอันเงียบสงบ คล้ายบ่อเลือดลึกล้ำไร้ก้นบึ้ง ริมฝีปากสีอ่อน กว้างและบางเบา หยักเป็นเส้นโค้งลึกล้ำ ดูลี้ลับจนเกือบจะชั่วร้าย ต่างหูผลึกเพชรรูปข้าวหลามตัดสีแดงเข้ม ห้อยติดติ่งหูทั้งคู่ อาภรณ์หลวมกว้างสีดำแนบติดกาย ทั้งนุ่มและเรียบเนียน มิผิดอันใดกับเรือนผมของมันที่เรืองแสงสีดำเงางาม ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เต็มไปด้วยเสน่ห์อันพิสดารอย่างบอกไม่ถูก

จั่วม่อยืนเหม่อมองอย่างเซื่องซึม มันสมควรกล่าวว่ากระไรเล่า ตัวมันเป็นเพียงศิษย์สามัญของสำนักเล็ก ๆ สำนักหนึ่ง เมื่อใดกัน ที่มันจะเคยได้พบตัวตนอันมีท่วงท่าเลิศภพจบแดนถึงปานนี้?

“ข้าเรียกว่า ผู” (ผูคำนี้มาจากผู ของดอกผูกงอิง) เสียงอ่อนหวานนิ่มนวลแนะนำตัว ขณะที่เจ้าของเสียงเชิดคางขึ้น จ้องมองจั่วม่ออย่างสนอกสนใจ ริมฝีปากหยักโค้งขยับยกอย่างชัดเจน “เจ้าเรียกว่าอะไร?”

“จั่วม่อ” จั่วม่อตอบอย่างซึมกะทือ ค่อนข้างแน่ใจว่ากำลังฝันอยู่

ผูคล้ายเพียงนั่งอยู่ตรงนั้น แต่แสงสว่างทั้งหมดในทะเลแห่งจิตสำนึก ราวกับว่าถูกมันดูดกลืนเข้าไปโดยไม่รู้ตัว จั่วม่อเคยพบปะคุ้นหน้ากับเหล่าศิษย์สตรีดอยตะวันออก แต่รับรองได้ว่าไม่มีผู้ใดดูดีไปกว่าผู

เห็นบุรุษผู้หนึ่งมีภาพลักษณ์เยี่ยงนี้ จั่วม่อปรารถนาจะร่ำไห้สักครา

เมื่อจั่วม่อครุ่นคิดเช่นนี้ มันพลันกลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง กลิ่นอายเขย่าขวัญระคนน่าหลงใหลของผูถูกทำลายทันที ด้วยความคิดน่าขบขันอันหาสาระมิได้นี้

ผูคล้ายสังเกตเห็นว่าจั่วม่อคืนสติสัมปชัญญะแล้ว เพียงยิ้มเบาบาง มิได้ขุ่นเคืองอันใด พลางกล่าวเสียงไพเราะว่า “ดูเหมือนว่าเราจะต้องอยู่เคียงข้างกันไปอีกนาน แต่ข้าเชื่อว่าเราจะเข้ากันได้ดี โอ้ ใช่แล้ว นี่ให้เจ้า”

ผูโยนลูกกลมเรืองแสงให้จั่วม่อ บนพื้นผิวของลูกกลม เห็นอักขระยันต์นับไม่ถ้วนกระพริบอยู่แวววาม

“นี่คือสิ่งใด?” จั่วม่อรับลูกกลมเรืองแสงไว้ด้วยสัญชาตญาณ

บูม!

มันเหมือนถูกฟ้าผ่าใส่ ร่างแข็งเกร็ง ตัวอักษรนับไม่ถ้วนจู่โจมเข้าไปในจิตใจ ไหลเวียนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด] เป็นแค่ของเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่มันพอจะช่วยให้เจ้าเยียวยารักษาจิตวิญญาณ ถือเป็นของขวัญแรกพบหน้าจากข้า” ผูกล่าวเสียงเกียจคร้าน “ทีแรกข้าเพียงต้องการพักพิงอย่างอิสระเสรี แต่กลับไม่มีทางเลือก ผู้ใดใช้ให้เจ้าทำทะเลแห่งจิตสำนึกเสียหายเล่า รีบเยียวยาทะเลแห่งจิตสำนึกโดยเร็วที่สุดเถอะ มิเช่นนั้นข้าอาจต้องลำบากเสาะหาสถานที่อื่นอีก” กล่าวจบก็โบกมืออย่างสง่างาม

จั่วม่อผู้ยังไม่ทันได้ขยับตัว พลันรู้สึกว่าพื้นที่รอบข้างบีบกระชับแน่น จากนั้นพอลืมตาขึ้นมาอีกที มันพบว่าออกมาจากทะเลแห่งจิตสำนึกของมันแล้ว

จู่ ๆ ในใจจั่วม่อรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมา เจ้าผูผู้นี้คล้ายทรงพลังกว่าที่มันคาดคิดไว้มาก บุคคลที่มันไม่มีปัญญาควบคุมเช่นนี้ อาศัยอยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึกของมัน ไม่ ประเดี๋ยวสิ ไม่ใช่แค่อาศัยอยู่ เจ้านั่นยังควบคุมทะเลแห่งจิตสำนึกของมันไว้ตามอำเภอใจอีกด้วย! มันไม่ได้รู้สึกยินดีที่ได้รับ[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด] มีเพียงความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ไม่ผิดอันใดกับยาพิษ

จั่วม่อกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ พยายามระงับความกลัวในใจ แล้วครุ่นคิดว่าควรทำเช่นไร

แจ้งสำนักดีหรือไม่?

สองปีมานี้มันพบเห็นเจ้าสำนักเพียงครั้งเดียว นั่นเป็นตอนที่เจ้าสำนักเก็บมันกลับมา และมันฟื้นคืนสติพอดี สำหรับเหล่าอาจารย์อาคนอื่น ๆ นั้น มันไม่เคยพบหน้าแม้แต่ครั้งเดียว

สิ่งที่มันกังวลจริง ๆ คือการคาดเดาของผู้อื่น และปฏิกิริยาของพวกมันหากล่วงรู้เข้า

จั่วม่อสงสัยอย่างยิ่งว่าผูน่าจะเป็นอสูรปิศาจ!

มีอสูรปิศาจที่งดงามเช่นนี้ด้วยหรือ มันแทบเชื่อไม่ลง แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ความสงสัยนี้เหมือนตัวหนอนชอนไชในกระดูก หยั่งรากลึกในใจมัน ไม่อาจปัดทิ้งไปได้

จั่วม่อไม่เคยพบเห็นอสูรปิศาจมาก่อน ทุกอย่างที่มันทราบเกี่ยวกับอสูรปิศาจ ล้วนมาจากการฟังจากอินกุย เมื่อใดที่มีการกล่าวถึงอสูรปิศาจ มันคือการเข่นฆ่า มันคือเลือดและความตาย อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างอสูรปิศาจกับผู้ฝึกตน คือศัตรูตามธรรมชาติ มันย่อมกระจ่างชัดในเรื่องนี้ การสังหารอสูรปิศาจเป็นภาระของผู้ฝึกตนทุกคน ไม่ว่าที่ใดหรือเมื่อใดก็ตาม

แต่กระนั้นจั่วม่ออันน่าสงสาร ก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนชั้นแรกเริ่ม ผู้ที่เพิ่งจะเข้าสู่ด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปดเท่านั้น อย่าเพิ่งกล่าวถึงการทำลายอสูรปิศาจ เกรงว่ากระทั่งอสูรปิศาจยังไม่อยากจะลดตัวลงมาบดขยี้มันด้วยซ้ำ

ส่วนที่ย่ำแย่และน่ากังวลที่สุด ย่อมไม่พ้นเรื่องที่หากมีผู้ล่วงรู้ ว่ามีอสูรปิศาจแฝงกายอยู่ในร่างมัน เกรงว่ามันคงถูกบดขยี้เป็นผุยผงจนไม่เหลือซาก โดยไม่มีโอกาสได้กล่าวอธิบายอันใด ในสายตาผู้ฝึกตนชั้นสูงทั้งหลาย ด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปดเช่นมัน ไม่มีคุณค่าเพียงพอจะเป็นอาหารสัตว์สำรองเสียด้วยซ้ำ

บางทีมันอาจจะถูกโยนลงไปในเตาปรุงยาโดยตรง และถูกปรุงกลั่นพร้อมกับอสูรปิศาจในร่างมัน... ...

จั่วม่ออดสยิวกายอย่างหนาวเหน็บไม่ได้ หัวใจเต้นกระหน่ำสั่นระรัว มันรีบหยุดความคิดอันน่าสะพรึงกลัวนี้ในทันที

-------------------------------------------

ภายใต้ความงงงวย ตลอดสองวันต่อมา จั่วม่อราวกับไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์

มันย่อมฝึกฝน[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]อย่างจริงจัง มิเช่นนั้น ไม่ต้องให้ผูเยาลงมือทำมันพิการ มันก็จะพิการด้วยตัวเองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ผูเยา คือนามใหม่ที่จั่วม่อใช้เรียกผู ไม่ต้องสนใจว่าผูเป็นอสูรจริงหรือไม่ เพียงแค่ภาพลักษณ์ที่เห็น จั่วม่อคิดว่าเจ้าผู้นั้นเหมาะสมกับคำว่าอสูรอย่างที่สุดแล้ว

        *(ผูเยา – ผู มาจากดอกผูกงอิง ส่วน เยา ก็คือเยาเดียวกับเยาของเผ่าอสูร ความหมายรวมก็คือ อสูรผู หรืออสูรแดนดิไลออน คาดว่าผูน่าจะเป็นตระกูลอสูรที่พัฒนามาจากแดนดิไลออน)

ผลที่ได้จาก[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]ถือว่าดีงามยิ่ง เพียงไม่กี่วันต่อมา อาการบาดเจ็บในจิตสำนึกของมันก็ทุเลาลงกว่าครึ่ง แต่จั่วม่อมิได้รู้สึกสำนึกบุญคุณผูเยาแม้แต่น้อย มันย่อมจดจำได้ไม่ลืมเลือน ว่าเหตุผลที่มันได้รับบาดเจ็บในจิตสำนึก เป็นฝีมือของเจ้าผูเยาตนนี้เอง

ในช่วงไม่กี่วันที่รักษาตัวอยู่นี้ มันไม่ได้เข้าไปยังทะเลแห่งจิตสำนึกเลยสักครั้ง

หากกล่าวว่าในการมองคราวแรก ความประทับใจที่จั่วม่อมีต่อผูเยาคือความเจ้าเสน่ห์ แต่หากเป็นในยามนี้ ความเจ้าเสน่ห์เปลี่ยนเป็นความชั่วร้ายไปแล้ว!

ที่แท้เจ้าผู้นั้นต้องการอันใดกันแน่?

คำถามนี้คือที่มาที่แท้จริงของความหวาดกลัว!

จู่ ๆ จั่วม่อก็พบว่าชีวิตมันกลายเป็นเรื่องย่ำแย่ และน่ากลัวอย่างเหลือเชื่อ สำหรับผู้ฝึกตนที่ตั้งเป้าจะเป็นเกษตรกรปราณเยี่ยงมัน ชีวิตย่อมสำคัญที่สุด

มันตัดสินใจจะสนทนากับผูเยา

เช่นเดียวกับครั้งก่อน ผูเยายังคงนั่งบนหลักศิลาจารึกอย่างเกียจคร้าน ในอาภรณ์สีดำดุจเดิม เมื่อพบเห็นจั่วม่อ ผูเยาก็แย้มยิ้มให้ และมิทราบว่า เป็นเพราะมองผ่านกลุ่มควันดำหนาทึบที่หมุนรอบศิลาจารึกหรือไร รอยยิ้มนั้นช่างดูชั่วร้ายอย่างบอกไม่ถูก ข้อสันนิษฐานว่าผูใช่เป็นอสูรปิศาจหรือไม่ กระโดดกลับเข้ามาในใจมันอย่างกะทันหัน

จั่วม่อใจสั่นสะท้าน ตัวมันไม่ใช่คนที่ขาดความกล้าหาญ แต่ในกรณีที่อีกฝ่ายควบคุมสถานการณ์ไว้อย่างสมบูรณ์ การแสดงความกล้าหาญเป็นได้เพียงเรื่องโง่เขลาเท่านั้น แน่นอนว่ามันย่อมไม่โง่เขลาเช่นนั้น

ทันใดนั้น จั่วม่อเพิ่งสังเกตศิลาจารึกใต้ร่างผูเยา แท่งหินสูงครึ่งตัวคน ห่อหุ้มด้วยควันเมฆดำ เมื่อจั่วม่อกวาดสายตามองบนพื้นผิวหลักศิลาจารึกโดยบังเอิญ มันถึงกับผงะถอยหลังอย่างช่วยไม่ได้

ป้ายหลุมศพ!

มันเป็นป้ายหลุมศพ!

นั่นไม่ใช่หลักศิลาจารึก แต่เป็นป้ายหินหลุมฝังศพ!

จั่วม่อขวัญหนีดีฝ่อ หัวใจเต้นกระหน่ำราวกับกลอง

“เป็นไร? เจ้ามิใช่มาหาข้าเพื่อสนทนาหรอกหรือ?” น้ำเสียงยังเกียจคร้านดุจเดิม

จั่วม่อมิทราบว่าเป็นเพราะป้ายหลุมศพนี่ด้วยหรือไม่ แต่มันรู้สึกว่าเสียงของผูเต็มไปด้วยความมืดมิดอันเย็นเยือก ที่เจาะทะลวงเข้าไปในหัวใจมันอย่างง่ายดาย

จั่วม่อรีบสงบสติอารมณ์ ยิ้มประจบ “พี่ใหญ่ ท่านดูสิ พลังฝึกตนของข้าต่ำต้อยนัก ร่างกายข้าก็มีแต่กระดูก ไม่ค่อยมีเนื้อสักเท่าใด รับประทานลงไปก็ไม่มีรสชาติ”

“รับประทาน?” ผูจู่ ๆ ก็หัวร่อ เปิดตาขวาสีแดงเข้ม พลางกล่าวอย่างแช่มช้าว่า “เอ่ยถึงรสชาติอันล้ำเลิศของเนื้อมนุษย์ โอ้ นั่นผ่านมานานมากแล้ว เนื้อมนุษย์ที่ดีที่สุด มีข้อถกเถียงกันมากมาย แต่ที่ดีที่สุดสำหรับข้า ย่อมเป็นแม่นางน้อยอายุไม่เกินสิบหกสิบเจ็ด เนื้อหวานนุ่ม กระดูกกรุบกรอบ จุ๊ จุ๊ พอนึกขึ้นมา...”

ลิ้นสีแดงสดแลบออกมาเลียริมฝีปาก สีหน้าเต็มไปด้วยความคิดชั่วร้าย

จั่วม่อใจเต้นแรงจนแทบกระดอนออกมาจากอก มันฝืนยิ้ม “ใช่แล้ว ใช่แล้ว เช่นนั้นดูสิ ท่านเปลี่ยนเป็นผู้อื่นไม่ดีกว่าหรือ?”

“เปลี่ยนเป็นผู้อื่น?” ผูเอียงคอ จ้องจั่วม่อเขม็ง “เป็นไร? เจ้าไม่พอใจ? ไม่มีความสุข? ใช่โทษว่าข้ายึดครองสถานที่ของเจ้าหรือไม่?”

ราวกับถูกแทงทะลุด้วยดวงตาสีแดงเข้มของผู จั่วม่อหัวใจเย็นเฉียบ มันรีบโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ใช่! ไม่ใช่! นี่เป็นเกียรติของข้า!เป็นเกียรติยิ่ง!”

คล้ายว่าจะพอใจกับคำตอบของจั่วม่อ ผูรั้งสายตากลับ และหลับตาขวาลงอีกครั้ง ปากก็ถามอย่างไม่ตั้งใจนัก “ในบรรดาศิษย์รุ่นเจ้า มีจินตันกี่คน? สิบคน?”

จั่วม่อส่ายหัว

“แปดคน?”

จั่วม่อส่ายหัวอีกครั้ง

“ห้าคน?”

จั่วม่อในที่สุดก็อดไม่ได้  มันรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำให้มันสนุกสนาน “ไม่มีแม้แต่คนเดียว ในหมู่ศิษย์พี่น้องทั้งหมด ผู้ที่มีพลังฝึกตนสูงสุดอยู่ในด่านจู้จีขั้นสุดท้าย”

เป็นครั้งแรกที่อาการตื่นตระหนกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู จั่วม่อลอบสะใจไม่น้อย

หลังจากนั้นสักครู่ ผูค่อยโคลงศีรษะ ถอนหายใจ “ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า เจ้าไฉนใช้การไม่ได้ถึงเพียงนี้”

จั่วม่อเกือบจะกระอักเลือด

ผูลืมตาขึ้นอีกครั้ง จ้องมายังร่างจั่วม่อ มองประเมินขึ้นลง มือเท้าคางพลางรำพึงกับตัวเอง “ร่างกายช่างอ่อนแอเสียเหลือเกิน หือ?”

จั่วม่อกำลังขุ่นเคืองยิ่ง ผู้อื่นวิจารณ์มันซึ่งหน้าอย่างกับประเมินสิ่งของ แต่คำ ‘หือ?’ ของผูทำให้หัวใจมันกระตุกวูบ

“ใช่มีอันใดไม่ถูกต้องหรือไม่?” จั่วม่ออดถามไม่ได้ มันทราบดีว่าร่างกายของตนไม่ปกติ ทั้งใบหน้าอันแข็งทื่อเหมือนผีดิบ ทั้งความฝันซ้ำซากนับครั้งไม่ถ้วน ล้วนไม่ผิดอันใดกับหนามแหลม ที่คอยทิ่มแทงหัวใจมันตลอดเวลา

ผูเงยหน้า เรือนผมที่หน้าผากปิดบังครึ่งหน้าซีกซ้ายเกือบทั้งซีก ดวงตาขวาสีแดงเข้มจ้องมองใบหน้าของจั่วม่อ มุมปากยกยิ้ม “ไม่มีอันใด”

“เอาเถอะ เจ้าอาจจะใช้การไม่ได้อยู่บ้าง แต่ยังไม่ถึงกับเกินเยียวยา” ผูกลับมาใช้น้ำเสียงเกียจคร้านอีกครั้ง

“ข้าอยากถาม... ...” จั่วม่อตัดสินใจหงายไพ่ในมือ มันต้องการทราบเป้าหมายที่แท้จริงของผู

“โอ้ ใช่แล้ว” ผูขัดจังหวะกลางครัน ดวงตาสีแดงเข้มหรี่แคบ ริมฝีปากบางขยับยกยิ้ม “เจ้าใช่เริ่มฝึกฝน[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]แล้วหรือไม่ เป็นอย่างไร ได้ผลไม่เลวเลยใช่หรือไม่? ข้าเกือบลืมบอกไปเรื่องหนึ่ง [เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]นั้นดียิ่ง แต่มีปัญหาน่ารำคาญอยู่บ้าง”

จั่วม่อจู่ ๆ หัวใจก็กระโดดขึ้น มันพลันบังเกิดสังหรณ์เลวร้าย

“ถ้าเริ่มต้นฝึกฝน[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]แล้ว ไม่อาจหยุดฝึกได้ ว่ากันว่าหากไม่สามารถสูดปราณก่อนกำเนิดลมหายใจแรก ได้ภายในสามดือน อาจเกิดปัญหาเล็กน้อย”

ผูยกมือขวา กางนิ้วทั้งห้า มุมปากยกสูงขึ้นอีก สีแดงสดในดวงตาคล้ายเป็นประกายมากขึ้น “ที่จริงแล้วมันก็เป็นเพียงความเจ็บปวดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นเลือดไหลย้อนกลับ โอ้ ใช่แล้ว เจ้าทราบหรือไม่ ก่อนหน้านี้ข้าเคยมีสหายเจ้าความคิดผู้หนึ่ง มันเป็นผู้ดูแลหอลงทัณฑ์”

ผูทำราวกับกำลังเล่านิทาน มันบรรยายอย่างกระตือรือร้น

“มีอยู่ครั้งหนึ่ง มันพบเจอถั่วที่เปลือกแข็งมาก (หมายถึงนักโทษที่อดทนมาก) มันกระทำทุกวิถีทาง แต่ไม่อาจง้างปากเจ้าผู้นั้นได้เลย จากนั้นมันค่อยขอเคล็ดวิชานี้จากข้า แล้วส่งลูกน้องปลอมตัวเป็นนักโทษ หาทางเข้าใกล้ชิดเจ้าผู้นั้น ต่อมาค่อยอาศัยปากของลูกน้อง ส่งมอบเคล็ดวิชาให้เจ้าผู้นั้นจนได้ โอ้ เจ้าต้องทราบ ข้าละชื่นชมมันเสมอ  ความคิดสร้างสรรค์ยิ่ง ขันติอดกลั้นสูงส่งยิ่ง”

ผูกล่าวต่อด้วยสีหน้าเริงรื่น “น่าเสียดายที่นักโทษผู้นั้นไม่ได้มีพรสวรรค์กระไรนัก พอครบสามเดือน มันไม่สามารถเข้าถึงการสูดปราณก่อนกำเนิดลมหายใจแรกได้ โอ้ แต่ข้าก็รู้สึกมาตลอดนั่นละ แน่นอนว่าสหายข้าคงจงใจถ่ายทอดผิดพลาดไป สักสองสามประโยคกระมัง”

“ต่อมาเล่า?” จั่วม่อถามเสียงสั่นเทา

“ต่อมา?” รอยยิ้มบนใบหน้าผูสดใสยิ่งขึ้น “เจ้าผู้นั้นพังทลายลงในวันแรกหลังจากสามเดือน แต่สหายข้าเป็นคนที่มีเมตตาผู้หนึ่ง มันไม่ได้ฆ่าเจ้าผู้นั้น และปล่อยทิ้งไว้อีกสามเดือน แต่ละวันเจ้าผู้นั้นจะขอร้องให้สหายข้าสังหารมันเสียที คอยฟังเสียงโหยหวนอันประณีตและกลมกล่อมทั้งวี่วัน ช่างน่ารื่นรมย์นัก! ว่ากันว่าตอนที่เจ้าผู้นั้นตาย วิญญาณของมันระเบิดราวกับดอกไม้ไฟ งดงามตระการตาไม่น้อย”

ความเจ็บปวดเย็นเยียบในกระดูกแผ่ซ่านไปทั่วร่าง จั่วม่อหนาวเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง

เส้นประสาทที่น่าเวทนาของมัน ประหนึ่งขดลวดที่ถูกกดดันจนเกินขีดจำกัด จู่ ๆ ก็ขาดผึง โทสะที่พอกพูนระเบิดขึ้นในพริบตา มันสูญเสียเหตุผล โถมเข้าใส่ผูพลางกรีดร้องคำราม

“เจ้าเหรินเยาวิปลาส ! เหยียจะฆ่าเจ้า !”

(เหรินเยา – เหรินแปลว่าคน เยาก็ยังเป็นเยา-อสูร คำเดิม แปลตรงตัวก็คือมนุษย์อสูร แต่เป็นแสลงแปลว่า กะเทย สรุปว่าจั่วม่อที่สติแตก เปลี่ยนจากผูเยาเป็นเหรินเยา หรือแอบด่าว่าเจ้ากะเทยวิปลาส นั่นเอง)

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด