ตอนที่แล้วบทที่ 11 เจ้าผีดิบจอมละโมบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 13 ความสำเร็จ

บทที่ 12 เคล็ดสารพันพฤกษ์


หลี่อิงฟ่งนำเสี่ยวกั่วมาพร้อมนาง ขณะที่มายืนเฝ้าประตูหน้าลานบ้านมัน

ครั้นพบเห็นจั่วม่อ หลี่อิงฟ่งโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด ส่วนใบหน้าผลผิงกว่อของเสี่ยวกั่ว มีร่องรอยของความประหม่าอยู่บ้าง

จั่วม่อประหลาดใจเล็กน้อย ไฉนสองคนนี้มาถึงที่นี่ได้? มันกล่าวพลางหัวร่อ “ศิษย์พี่หญิง วันนี้มีเวลาว่างมาเยือนถึงบ้านซอมซ่อของข้า ช่างหายากนัก! มา ๆ เชิญเข้า!”

กล่าวจบ มันโบกแขนเสื้อ แอบใช้พลังใต้แขนเสื้อ ประตูสู่ลานบ้านพลันเปิดออกอย่างเงียบเชียบ

หลี่อิงฟ่งก็ไม่เกรงอกเกรงใจ ตอบตรงไปตรงมาว่า “มาโดยไม่ได้รับเชิญ รบกวนเจ้าแล้ว!”

เสี่ยวกั่วตามติดด้านหลังหลี่อิงฟ่งอย่างแนบชิด ใบหน้านางยังคงขลาดกลัว

เกอจึงไม่สนใจเด็กหญิงโง่งมเจ้า จั่วม่อพึมพำในใจ

พอเข้าไปยังลานบ้าน หลี่อิงฟ่งพบเห็นทุ่งนาปราณเขียวชอุ่มอยู่ภายใน นางพลันดวงตาเป็นประกาย อดยกย่องไม่ได้ “ศิษย์น้องเชี่ยวชาญด้านการเพาะปลูกอย่างแท้จริง ความเจริญงอกงามของข้าวปราณนี้ ชวนให้ผู้คนอิจฉาริษยานัก การเก็บเกี่ยวอันอุดมสมบูรณ์คงอีกไม่นานแล้ว”

“ศิษย์พี่หญิงชมเชยเกินไป” จั่วม่อตอบลวก ๆ ในใจมันเริ่มไตร่ตรอง ถึงจุดประสงค์การมาของหลี่อิงฟ่งในวันนี้

กับศิษย์พี่หญิงผู้ไม่เคยมีการคบหากันในอดีตผู้นี้ มันมีแต่ความรู้สึกชื่นชม อื่นใดไม่กล่าวถึง เพียงพลังฝึกตนด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่เก้า ก็เพียงพอจะยืนเชิดหน้าอยู่แถวหน้าสุดในหมู่ศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหมด อีกทั้งนิสัยสัตย์ซื่อตรงไปตรงมาของนาง ก็ถูกกับอารมณ์จั่วม่อมาก

สามบุรุษสตรีนั่งลงที่ใต้ต้นไม้ข้างสระน้ำ บางครั้งยังสามารถเห็นปลาบางตัวกระโจนขึ้นมา ครั้งแรกที่จั่วม่ออพยพเข้ามาในบ้านหลังนี้ สระน้ำแห้งขอดจนเห็นก้นสระ น้ำทั้งหมดที่อยู่ในสระยามนี้ เกิดจากการสะสมอย่างช้า ๆ ผ่านการฝึกฝนเคล็ดเมฆฝนหล่นรินของมันเอง มันย่อมจดจำได้อย่างชัดเจน เพราะเมื่อสระน้ำกลายเป็นเต็มเปี่ยม เคล็ดเมฆฝนหล่นรินของมันก็บรรลุถึงขั้นที่สามพอดี

ส่วนปลาเหล่านั้น เป็นปลาที่มันสุ่มจับมา เวลาที่ผ่านไปตามลำธารบนภูเขา

ครู่หนึ่ง หลี่อิงฟ่งก็เริ่มกล่าวถึงจุดประสงค์การมาของนาง “บากหน้ามาเยือนในวันนี้ หนึ่งเพื่อขอบคุณศิษย์น้องเจ้า วิธีการที่ศิษย์น้องบอกมา พวกเราใช้แล้วได้ผลดีมากจริง ๆ สนามรบต้องการขุนพล ปัญหาที่ยุ่งยากเช่นนี้ ย่อมจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการเพาะปลูกเช่นศิษย์น้อง จึงจะสามารถแก้ไขได้ลุล่วง”

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว! ได้ผลดียิ่ง! ทุกคนมีความสุขมาก!” เสี่ยวกั่วรีบเสริมวาจา แต่เมื่อนางเห็นจั่วม่อหันหน้ามา นางเงียบกริบในทันที ซ้ำยังรีบหดตัวแอบเข้าเบื้องหลังหลี่อิงฟ่ง

จั่วม่อค่อยหันกลับ พลางส่ายหน้า “ศิษย์พี่หญิงเกรงอกเกรงใจเกินไปแล้ว เราต่างเป็นศิษย์ร่วมสำนัก ไม่จำเป็นต้องยึดถือเป็นจริงเป็นจังถึงปานนั้น”

หลี่อิงฟ่งยิ้มพลางตอบว่า “ศิษย์น้องพูดได้ดี ต่อไปหากศิษย์น้องประสบปัญหายุ่งยาก อย่าได้ลังเลที่จะมาหาข้า หากศิษย์พี่ผู้นี้ช่วยได้ รับรองไม่บ่ายเบี่ยงแม้สักครึ่งคำ”

“ขอบคุณท่านมากแล้ว ศิษย์พี่หญิง” จั่วม่อตอบอย่างขอไปที ประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกมัน คำพูดเช่นนี้โดยทั่วไปไม่อาจยึดถือเป็นจริงเป็นจังอันใด

หลี่อิงฟ่งจ้องตาจั่วม่อ นางกล่าวต่ออย่างจริงจัง “ที่มาในวันนี้ อีกเรื่องหนึ่งคือต้องการความช่วยเหลือจากศิษย์น้อง”

เนื้อมาแล้ว!

จั่วม่อถามด้วยสีหน้าอันไร้อารมณ์ “เรื่องอันใด?”

ในความเป็นจริง มันแค่ไม่สามารถแสดงอารมณ์ได้เท่านั้นเอง... ...

“วิธีแก้ไขของศิษย์น้องย่อมได้ผลดีมาก” หลี่อิงฟ่งพลันหน้าบูดบึ้ง “แต่ในหมู่พี่น้องของเรา มีเพียงนางเดียวที่ฝึกฝนเคล็ดปราณพิภพ ศิษย์น้องเจ้าอาจไม่ทราบ เนื่องเพราะภัยวัชพืชก่อนหน้านี้ ปริมาณหญ้าปราณที่เราผลิตได้น้อยนิดจนน่าเวทนา แต่ปริมาณหญ้าปราณที่เหล่าสัตว์ปราณต้องการ มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น แต่เดิมข้าวางแผนจะซื้อหาจากตงฝู เพื่อทดแทนส่วนที่ขาดไปก่อน แต่ผู้ใดจะทราบ ราคาของหญ้าปราณกับข้าวปราณแทบจะพุ่งทะยานขึ้นฟ้า... ...”

ได้ยินเช่นนี้ หัวใจจั่วม่อโลดขึ้น ราคาของข้าวปราณเพิ่มขึ้น สำหรับมันแน่นอนว่าเป็นข่าวดี ไม่ต้องกล่าวถึงทุ่งนาปราณห้าสิบหมู่ที่มันเช่าจากสำนัก เพียงทุ่งนาปราณห้าหมู่ในลานบ้านมัน ผลผลิตที่ได้เกรงว่าจะน่าประทับมากแล้ว

ช่างเป็นปีแห่งโชคลาภของมันอย่างแท้จริง!

ในใจมันคาดคะเนอย่างเบิกบาน ไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่หลี่อิงฟ่งกล่าวมาโดยสิ้นเชิง

หลี่อิงฟ่งสังเกตเห็นความใจลอยของจั่วม่อ และอดคิดไม่ได้ ถึงคำร่ำลือเกี่ยวกับมันที่นางได้สืบเสาะมา

กับศิษย์น้องผู้เข้มแข็งที่จู่ ๆ ก็กระโดดออกมาจากที่ใดสักแห่ง ความตื่นตระหนกที่นางได้รับนับว่ารุนแรงไม่เบา

ครั้งก่อนพอจั่วม่อจากไป นางก็ตระเวนไปทั่ว เที่ยวสอบถามเรื่องราวของมัน ดังนั้นไม่เพียงแต่ได้ทราบ ว่าที่แท้มันมีใบหน้าผีดิบตามธรรมชาติ ทั้งยังบรรลุเคล็ดเมฆฝนหล่นรินขั้นที่สาม และเรื่องอื่น ๆ นางยังได้รับความเข้าใจพื้นฐาน เกี่ยวกับนิสัยอันแปลกประหลาด และพฤติกรรมอันพิสดารของมัน

ยามนี้นางตัดสินใจจะไม่เกรงอกเกรงใจอีก พลันโยนระเบิดลงกลางวงสนทนา “ที่ข้ามา ก็เพื่อขอให้ศิษย์น้องช่วยกำจัดวัชพืชให้เรา นี่คือสิบชิ้นจิงสือระดับสอง ถือว่าเป็นสินน้ำใจจากพวกเรา ศิษย์น้องโปรดรับไว้”

และเช่นเดียวกับครั้งก่อน ถุงผ้าเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นในมือนาง

เป็นไปตามคาด จั่วม่อสะท้านขึ้นทั้งร่าง หันขวับ สายตาจับจ้องแต่ถุงเล็ก ๆ ในบัดดล

สิบชิ้นจิงสือระดับสอง... ...

จั่วม่อน้ำลายใกล้จะหยดลงเต็มที เมื่อตอนที่มันขายข้าวปราณหนักสามร้อยจินคราวที่แล้ว มันเพียงได้รับสามสิบชิ้นจิงสือระดับสองเท่านั้น

จั่วม่อลังเลเล็กน้อย แต่ยังกล่าวว่า “ข้ามิได้เชี่ยวชาญเคล็ดปราณพิภพ เกรงว่าไม่สามารถช่วยเหลืออันใดได้มากนัก”

หลี่อิงฟ่งเข้าใจว่ามันเพียงกล่าวถ่อมตัว หากมิได้ช่ำชองชำนาญ ไฉนจึงคิดนำเคล็ดปราณพิภพมาใช้กำจัดวัชพืชได้?

แต่หนนี้นางเตรียมการมาพร้อมสรรพ มิเพียงไม่เสียขวัญ นางยังยิ้มพลางกล่าวว่า “นอกเหนือจากสิบชิ้นจิงสือระดับสองในถุงนี้แล้ว เรายังจัดเตรียมอีกห้าชิ้นจิงสือระดับสอง ไว้สำหรับให้ศิษย์น้องใช้ฟื้นฟูพลังปราณ ด้วยหวังว่าจะสามารถฟื้นคืนการผลิตหญ้าปราณโดยเร็วที่สุด”

จั่วม่อเหมือนมีอะไรสักอย่างระเบิดในหัว หน้ามืดวิงเวียนโดยสิ้นเชิง ประหนึ่งถูกฟาดโดยจิงสือของหลี่อิงฟ่งเข้าเต็มรัก

จิงสือเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดสำหรับแต่ละสำนัก นอกเหนือจากการใช้เป็นเงินตราซื้อหาสิ่งของแล้ว วิธีใช้ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ก็คือใช้เพื่อฟื้นฟูพลังปราณ

ควรทราบว่าความหนาแน่นของพลังปราณธรรมชาติในเส้นชีพจรปราณปฐพี ไม่อาจเทียบได้เลย กับสิ่งที่อยู่ในจิงสือ

ในสำนักใหญ่บางสำนัก เหล่าศิษย์เอกล้วนถูกเพาะสร้างขึ้นมาด้วยวิธีนี้เอง หน้าที่ประจำวันของพวกมันคือการดูดซับพลังปราณจากจิงสือ เพื่อเพิ่มพูนพลังฝึกตนของตนเอง

จั่วม่อย่อมไม่เคยทดลองดูดซับพลังปราณจากจิงสือมาก่อน มันยากจนข้นแค้นปานนี้ ไฉนจะทนแบกรับค่าใช้จ่ายเช่นนี้ได้

อ้าห์ หนนี้ศัตรูเข้มแข็งเกินไป! จั่วม่อยอมจำนนทันที ออกปากสัญญาอย่างแข็งขัน “ศิษย์พี่หญิงมีคำสั่ง ศิษย์น้องย่อมไม่กล้าปฏิเสธ ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ ไม่ขอบ่ายเบี่ยง!”

หลี่อิงฟ่งยิ้มกริ่ม กลยุทธ์ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม นางวางถุงผ้าลงบนโต๊ะ จ้องมองจั่วม่อพลางถามว่า “ศิษย์น้องจะไปเมื่อใด?”

จั่วม่อยัดถุงผ้าใส่อกเสื้อด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ มันตอบเสียงขรึมว่า “สถานการณ์ย่ำแย่ยิ่ง ควรลงมือรีบด่วนที่สุด ยิ่งเร็วยิ่งดี”

เสี่ยวกั่วลอบทำปากยื่น

-----------------------------

ขณะติดตามสตรีทั้งคู่ไป จั่วม่อยังหวนคิดถึงจุดเด่นของเคล็ดปราณพิภพ ไม่กี่วันมานี้มันมัวแต่มุ่งเน้นเคล็ดทองคำคร่ำคร่า กับเคล็ดสารพันพฤกษ์ หลังจากลองฝึกฝนแบบลวก ๆ มันก็ไม่เคยเสียเวลาไปกับเคล็ดปราณพิภพอีก

มันไหนเลยจะเคยคาดคิด ว่าเคล็ดปราณพิภพจะเชื่อมโยงโดยตรง กับสิบห้าชิ้นจิงสือระดับสอง ไฉนมันจึงฝึกฝนเวทวิชากันเล่า? ก็ไม่ใช่เพื่อจิงสือหรอกหรือ? มันได้แต่อารมณ์เสียอยู่ในใจ หากรู้เช่นนี้ สมควรฝึกฝนเคล็ดปราณพิภพอย่างเต็มที่

พวกมันไปถึงดอยตะวันออกอย่างรวดเร็ว เหล่าศิษย์สตรียืนรวมกันอยู่ด้านข้างอย่างเงียบเชียบ ไม่มีผู้ใดกล่าววาจา

ถึงแม้ว่ามันจะไม่เคยใส่ใจพวกนางเลย แต่ท่าทีและการปฏิบัติต่อมันที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ยังทำให้มันรู้สึกดีขึ้นอยู่บ้าง

“ทุ่งปราณที่พบการระบาดของวัชพืชมีราว ๆ สี่ร้อยห้าสิบหมู่ ในจำนวนนั้น มีสองร้อยห้าสิบหมู่ที่สถานการณ์ย่ำแย่ยิ่ง” หลี่อิงฟ่งเกริ่นนำ

จั่วม่อเกือบสะดุดหัวทิ่ม ...สองร้อยห้าสิบหมู่ ตัวเลขนี้เขย่าขวัญมันจนแทบผวา!

ควรทราบว่าเคล็ดปราณพิภพ แตกต่างจากเคล็ดเมฆฝนหล่นริน ระยะผลกระทบของมันแคบมาก เพียงราว ๆ หนึ่งหมู่ หรือมากกว่านั้นเล็กน้อย นั่นหมายถึงว่ามันต้องพยายามสุดตัวอีกด้วย ที่ย่ำแย่ยิ่งกว่า คือด้วยเคล็ดปราณพิภพขั้นแรกของมัน มันต้องใช้ซ้ำถึงสามหน จึงจะสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของวัชพืชน่าตายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หรืออาจกล่าวอย่างเจาะจงได้ว่า มันจะต้องร่ายเวทวิชาเคล็ดปราณพิภพ ไม่น้อยกว่าเจ็ดร้อยห้าสิบครั้ง... ...

คำตอบที่คำนวณได้ทำให้มันตาเหลือก หน้ามืดวูบ เกือบลมจับ ด้วยตัวเลขจำนวนนี้ ก็เพียงพอให้มันทำงานจนแห้งเหือดตายไปเอง

เดิมทีคิดว่าได้รับงานอันรื่นรมย์ปานขนมหวาน มันไหนเลยจะคาดคิด ว่าความจริงหนักหนาสาหัสและขมขื่นยิ่ง ประหนึ่งหล่นจากสวรรค์ตรงดิ่งสู่นรกในชั่วพริบตา ความพลิกผันอันมโหฬารนี้ ทำเอาจั่วม่อแทบน้ำตาร่วง

จั่วม่อเหม่อมองทุ่งปราณอันเขียวพรืดเบื้องหน้า มันอยากร่ำไห้เต็มทน พื้นที่เกือบทั้งหมดของทุ่งปราณนี้เต็มไปด้วยวัชพืช ยากที่จะพบร่องรอยของหญ้าปราณ และสำหรับทุ่งวัชพืชที่งอกงามเสียเหลือเกินเช่นนี้ มันอาจจะต้องใช้เคล็ดปราณพิภพขั้นพื้นฐานของมัน เจ็ดหรือแปดครั้งจึงจะได้ผล

ไม่ทิ้งตัวลงเกลือกกลิ้งร่ำไห้ ยังจะทำอะไร?

ในเวลานี้เอง ความคิดอันบรรเจิดแล่นวาบในสมองดุจสายฟ้าแลบ ในใจมันพลันบังเกิดประกายปัญญา

ไหน ๆ ทั้งหมดก็กลายเป็นทุ่งวัชพืชไปแล้ว ไฉนไม่ทำลายล้างให้สิ้นเสียก่อน แล้วค่อยปลูกหญ้าปราณขึ้นใหม่อีกครั้ง

ด้วยจุดเด่นของเคล็ดสารพันพฤกษ์ มิใช่ว่าเข้ากับสถานการณ์อย่างเหมาะเจาะยิ่งหรอกหรือ? เคล็ดสารพันพฤกษ์ ไม่เพียงแต่สามารถสกัดพลังชีวิตและแก่นสารจากต้นวัชพืช แม้แต่เมล็ดวัชพืชที่ผสมอยู่ในดิน มันยังไม่ปล่อยให้ลอยนวล ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่มันสกัดเป็นแก่นสารของพืช หาใช่พลังปราณไม่ ดังนั้นไม่มีผลข้างเคียงอันใดต่อทุ่งปราณ

ยิ่งคิดมากเท่าใด มันยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นจั่วม่อบอกความคิดของมันต่อหลี่อิงฟ่ง

ครั้นหลี่อิงฟ่งได้ฟังว่าจั่วม่อ ยังสำเร็จเคล็ดสารพันพฤกษ์อีกด้วย นางลอบตกใจอยู่บ้าง ในใจนางครุ่นคิด ศิษย์น้องจั่วม่อผู้นี้ หาใช่ธรรมดาสามัญอย่างที่คาดไว้

เมื่อรู้สึกว่าจั่วม่อไม่ธรรมดามากขึ้น ย่อมเป็นธรรมดาที่หลี่อิงฟ่งไม่เห็นคัดค้านอันใด ในใจนางถึงกับมีความหวัง ว่าครั้งนี้อาจประสบความสำเร็จจริง ๆ ก็ได้

เวลานี้นางเองก็อยู่ภายใต้ความกดดันไม่เบา ไร้หนทางถอยกลับอีกแล้ว สิบห้าชิ้นจิงสือระดับสองเกือบจะเป็นทั้งหมดที่นางมี

ในหัวมันทบทวนทุกอย่างอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เห็นว่าไม่ควรมีปัญหาอันใด จั่วม่อตัดสินใจลงมือทันที

สองมือมันกางออก ยกขึ้นไขว้เสมออก ปลายนิ้วเรืองแสงประกาย สูดลมหายใจลึก แล้วสิบนิ้วก็พลันร่ายรำ!

ทุกผู้คนเพียงรู้สึกคล้ายเห็นเส้นใยแสง ถักทออยู่ระหว่างนิ้วทั้งสิบของจั่วม่อ ปลายนิ้วเรืองรองสะบัดวูบวาบ ถักประสานประหนึ่งภาพวาด ดุจดั่งสายรุ้ง พราวพรายอยู่ในดวงตาพวกนาง ใบหน้าของทุกผู้คนมีแต่ความตื่นตะลึง

เพียงชั่ววูบนี้เอง ที่พวกนางเพิ่งตระหนักซึ้ง ถึงเอกลักษณ์อันพิเศษเฉพาะ ของศิษย์พี่ผู้เหมือนผีดิบผู้นี้!

หากบอกว่านี่คือการร่ายเวทวิชา มิสู้บอกว่าเป็นการร่ายรำของแสงประกายที่ปลายนิ้ว มือผอมแห้งคู่นั้นดุจดั่งมีมนต์ขลัง สะกดตรึงทุกสายตา จนมิอาจคลาดคลาไปจากมัน

แผนภาพที่ถูกวาดขึ้นมา ยามนี้ซับซ้อนมากแล้ว แต่สิบนิ้วเริงระบำก็ยังไม่ยอมหยุดนิ่ง!

กระทั่งใบหน้าของหลี่อิงฟ่งยังอดแปรเปลี่ยนมิได้!

กระบวนท่าดัชนีอันซับซ้อนกระไรปานนั้น! เป็นเวทวิชาอันใด จึงขับเคลื่อนด้วยกระบวนท่าสารพันแปรเปลี่ยนถึงเพียงนี้?

นางย่อมมิล่วงรู้ ว่าเนื่องเพราะกระบวนท่าดัชนีที่ซับซ้อนเกินไปนี้เอง เคล็ดสารพันพฤกษ์จึงถูกจัดให้เป็นเวทวิชาที่ยากฝึกฝนที่สุดในเวทวิชาทั้งห้า มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถสำเร็จวิชานี้ได้

เส้นใยสีมรกตเหลือคนานับ ล่องลอยขึ้นจากทุ่งปราณ แล้วพุ่งไปยังระหว่างฝ่ามือของจั่วม่อ ซึ่งแตกต่างจากแรงดึงดูดที่เกิดขึ้นในยามปกติอยู่บ้าง แต่จั่วม่อยามนี้ไม่ลังเล ไม่สงสัย ความกลัวและความกังวลใจหายไปโดยสิ้นเชิง สิบนิ้วพลิกผัน สลับไปมา ร่ายรำแปรเปลี่ยนไม่หยุดยั้ง มันรุดหน้าไปด้วยพลังปราณทั้งหมดของมัน

ความรู้สึกอันแปลกพิสดารค่อย ๆ บังเกิดขึ้น ราวกับว่ามีบางอย่างสั่นเป็นจังหวะเบา ๆ ในหัวใจมัน

กระบวนท่าดัชนีเร่งเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว การสั่นสะเทือนที่หัวใจก็ยิ่งแรงขึ้น ทุกสิ่งรอบกายคล้ายห่างไกลออกไป ไร้ตัวตน ทั้งยังกระจ่างชัด ดุจดั่งความว่างเปล่าอนันตกาล มันเพียงเพ่งมองอย่างสงบ การเชื่อมโยงอันลึกซึ้งระหว่างสิบนิ้วที่เริงร่าย กับจังหวะการแปรเปลี่ยนของพลังปราณ กลายเป็นแทบจะสังเกตเห็นได้จากภายนอก

ราวกับว่าหน้าต่างกระดาษถูกผลักเปิดออก วิสัยทัศน์ของมันพลันกระจ่างแจ้ง

ความติดขัดในกระบวนท่าของจั่วม่อเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว สิบนิ้วดุจดั่งอาบย้อมไปด้วยน้ำ ราบเรียบอย่างพิสดาร อิสระและต่อเนื่อง ไหลลื่นไม่ขาดตอน ประดุจสายน้ำหลั่งริน

ในบรรดาศิษย์สตรีทั้งหมด หลี่อิงฟ่งพลังฝึกตนสูงล้ำที่สุด ดวงตานางก็แหลมคมที่สุด นางเป็นคนแรกที่ค้นพบความแปลกประหลาดนี้ หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้ นางชื่นชมกระบวนท่าดัชนีอันซับซ้อนและหลากหลายของจั่วม่อ ยามนี้กลับรู้สึกแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง กระบวนท่าดัชนียังคงงดงาม แต่ไม่ใช่ส่วนผสมระหว่างความคลุมเครือกับความลึกซึ้งดังเดิม มันกลับกลายเป็นท่วงทำนองอันแปลกพิสดาร ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า

เสี่ยวกั่วดวงตาเบิกกว้าง บนใบหน้ารูปผลผิงกว่อ เปิดเผยเสน่ห์อันน่ารักที่ชวนให้มึนเมาชนิดหนึ่ง

เส้นใยพลังงานสีมรกต ล่องลอยขึ้นจากเหล่าวัชพืชและหญ้าปราณมากขึ้น ช่องว่างระหว่างนิ้วมือของจั่วม่อก็คล้ายศูนย์กลางของวังวน มันดึงดูดพลังงานสีมรกตเข้ามาอย่างดุร้าย!

พลังสีมรกตสะสมอยู่ที่มือจั่วม่อมากขึ้น มากขึ้นเรื่อย ๆ ลูกปัดแก่นสารพืชสีเขียวแวววับ ปรากฏบนปลายนิ้วของมันด้วยความรวดเร็วอันน่าเหลือเชื่อ

ทุ่งปราณกลับกลายเป็นแผ่นผืนสีเหลืองแห้งกรอบ ไม่พบเห็นร่องรอยสีเขียวแม้แต่น้อย และเมื่อลมพัดผ่านมา มันก็สลายกลายเป็นฝุ่นผงไปตามสายลม

ภายในชั่วกระพริบตา ทุ่งปราณที่เพิ่งจะเต็มไปด้วยชีวิตอันเข้มแข็ง กลับกลายเป็นท้องทุ่งแห่งความตาย

ทุกผู้คนจ้องมองอย่างโง่งม พวกนางล้วนเหลียวมองจั่วม่อราวกับเห็นภูตผี

ในใจหลี่อิงฟ่งตื่นตระหนกอย่างเหลือเชื่อ หากจะกล่าวว่า กระบวนท่าดัชนีอันพิสดารล้ำ ทำให้นางตะลึงลานแล้ว เช่นนั้นผลลัพธ์อันน่าตกใจเบื้องหน้านี้ ก็ทำให้นางถึงกับหวาดผวาแล้ว!

มันใช่อยู่ในด่านเลี่ยนชี่จริง ๆ หรือ?

นางจู่ ๆ ก็พบว่าช่างน่ากังขาเสียเหลือเกิน

-----------------------------

เทพมารฯ รำพึง : อยากจะแปลกระบวนท่าดัชนีว่าการประสานอินเหลือเกิน!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด