ตอนที่แล้วAST บทที่ 662 - ราชินีผึ้งหยกพิษจักรพรรดิ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปAST บทที่ 664 - การประลองศึกแห่งชีวิตและความตาย(2)

AST บทที่ 663 - การประลองศึกแห่งชีวิตและความตาย(1)


ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

บทที่ 663 - การประลองศึกแห่งชีวิตและความตาย(1)

 

ชิงสุ่ยใช้เวลาเกือบทั้งเดือนสำหรับการดูดซับพลังงานที่ลงเรือ ยิ่งเขาดูดซับมากขึ้นเท่าไหร่ความแข็งแกร่งของเขายิ่งเพิ่มพูนขึ้นมากขึ้นเช่นกัน โดยปกติ เขาไม่เคยรู้สึกถึงพลังงานที่เหลือล้น นอกเสียจากในตอนที่เขาจำเป็นต้องบีบเค้นพลัง แต่ในตอนนี้มันกลับเอ่อล้นท่วมท้นร่างกายของเขา

 

ชิงสุ่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนที่เขาจะออกจากดินแดนหยกยุพราชอมตะ ในที่สุดเขาก็สามารถรีดพลังจนมันเริ่มมีขนาดหนาเท่ากับเส้นผม ซึ่งมันยิ่งทำให้เขาสามารถใช้เคล็ดวิชาศาสตราวุธเร้นลับได้แม่นยำยิ่งขึ้น

 

ท้องฟ้าสว่างขึ้นหลังจากที่เขาเก้าออกจากดินแดนหยกยุพราชอมตะ ในตอนนี้เขามีเวลาเหลือเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น

 

การประลองศึกแห่งชีวิตและความตายกำลังจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ เขายังคงรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่โศกเศร้าภายใต้ตระกูลติ๊ ผู้คนมากมายบนโลก 9 มหาทวีปแห่งนี้ต่างรู้ดีเกี่ยวกับการประลองศึกแห่งชีวิตและความตายว่ามันเป็นเรื่องที่โหดเหี้ยมอย่างมาก

 

การประลองจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะวิ่งหนีออกจากสนามประลอง ผู้ชนะจะได้ทุกอย่างตามที่ต้องการจากผู้แพ้ ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง หญิงสาว หรืออะไรก็ตามแต่

 

เนื่องด้วยความมั่นใจอันน้อยนิดของเหล่าผู้คนตระกูลติ๊ มันจึงทำให้พวกเขาไม่อาจรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขได้ การประลองศึกแห่งชีวิตและความตายเปรียบดังนางที่ทิ่มแทงจิตใจของพวกเขามาตลอด

 

ชิงสุ่ยได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนท่านหญิงโม่อีกครั้งหนึ่งและยืนยันได้ว่าตอนนี้เธอได้กลับมายืนอยู่ในจุดสูงสุดอีกครั้ง รวมถึงเขาได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนท่านหญิงต้วนมู่และได้มอบยาบางอย่างให้เธอ ซึ่งทั้งสองคนเริ่มกลับมาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอีกครั้งแล้วในเวลานี้

 

…………………

 

ณ คฤหาสน์หรูภายใต้อาณาจักรเจ็ดดารา!!!

 

"พี่ใหญ่ ใครบางที่จะเข้าร่วมการประลองศึกแห่งชีวิตและความตายในวันรุ่ง? ผู้อาวุโสเชียนซือเคยกล่าวอธิบายให้ข้าฟังว่าทุกๆตระกูลจะต้องส่งคนที่มีระดับพลังขั้นต่ำไม่น้อยกว่าระดับปราณนักบุญพิโรจน์ขั้นที่ 8 อย่างน้อย 1 คนลงไปประลองเรื่อยๆจนไม่เหลือผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับนักบุญพิโรธขั้นที่ 8 อีก" สือมาฉงกล่าวถามสือมาเฮง

 

ในปัจจุบันมีเพียง 4 คนเท่านั้นในรุ่นเยาว์ของตระกูลสือมาที่มีความสามารถมากพอ นั่นคือลูกชายคนโต สือมาเฮง และอีก 3 คนสือมาฉง สือมาซือ และสือมาจวง

 

"ยังมีตระกูลโจว ตระกูลกวน ตระกูลตู้ อย่าบอกนะว่าตระกูลสือมาของเราจะมัวเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่?"สือมาจวงกล่าวขึ้นมาหลังจากที่เขานั่งเงียบมาพักใหญ่

 

สือมาเฮง ขมวดคิ้วและจ้องมองสือมาจวงกล่าวจนจบ

 

"น้องสิบสาม เจ้าไม่ได้สังเกตุหรือ? ว่านิกายโอสถสังหารคิดที่จะใช้การประลองแห่งชีวิตและความตายเพื่อเป็นโอกาสเบิกทางทำให้กลุ่มตระกูลของพวกเราอ่อนแอลง"สือมาเฮง กล่าวแนะอย่างช้าๆ

 

"ทำให้พวกเราอ่อนแอลง? เหตุใดพวกเขาถึงจะทำเช่นนั้น? ไม่ใช่ว่าตระกูลของเราแสดงความจงรักภักดีต่อนิกายโอสถสังหาร……….."สือมาจวงกล่าวด้วยความรู้สึกที่ไม่เชื่อ

 

"ข้าเองก็ไม่เคยคิดเส้นทางนี้มาก่อน แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาตระกูลสือมาของพวกเราได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้าเลยคิดว่าพวกเขาจะต้องกังวลเป็นแน่ถ้าหากวันใดวันหนึ่งพวกเราจะไปแทนที่ตระกูล เชียนซือที่เป็นตระกูลหลักของนิกายโอสถสังหาร"

 

สือมาจวงเงียบลงในทันใด เขาอาจเป็นคนที่ตรงไปตรงมา แต่เขาก็ไม่ได้โง่เกินจะเข้าใจความสำคัญของปัญหานี้

 

"พี่ใหญ่ แล้วพวกเราควรทำเช่นไรดี?"สือมาซือกล่าวถามออกมาหลังจากเงียบได้ชั่วครู่หนึ่ง

 

"พวกเราอย่าเพิ่งเป็นกังวลไป เราเพียงแค่ทำในสิ่งที่พวกเราทำได้โดยไม่ประมาท แต่ข้าขอเตือนเลยว่าขอให้เหล่าพี่น้องทั้งหลายอย่าแสดงการอุกอาจออกไปโดยใช้ชื่อของตระกูลสือมาเป็นอันขาด"สือมาเฮงกล่าว

 

"เราจงรีบทำให้การประลองศึกแห่งชีวิตและความตายจบลงอย่างรวดเร็วเถิด แล้วเราค่อยมาจัดการเรื่องต่างๆในภายหลัง นิกายโอสดสังหารยังคงไม่ทำอะไรพวกเราเป็นแน่ แต่ความแตกแยกระหว่างตระกูลของพวกเราและตระกูลเชียนซือใกล้จะดำเนินมาถึงขีดสุดแล้ว"สือมาเฮงพยายามอธิบายอย่างง่ายๆ

 

"เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าชิงสุ่ย ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนที่อยู่ภายในคฤหาสน์เทวทรราชจะเป็นคนชุบเลี้ยงดูแลเขา?"สือมาฉงลืมตาขึ้นพร้อมกับกล่าวคำถามออกมา

 

"เด็กหนุ่มคนนี้จะต้องมีเบื้องหลัง มิฉะนั้นตระกูลจติ๊คงจะไม่กล้าประลองท่ามกลางศึกแห่งชีวิตและความตายเป็นแน่? ดังนั้นความแข็งแกร่งของเขาซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม"

 

"และพวกเราจะไม่ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อยหรือ?"

 

"ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตระกูลเชียนซือจัดการเถิด พวกเราอย่าได้กังวลเลย อย่างน้อยการที่มีตระกูลเชียนซือเข้าร่วมการประลอง พวกเขาจะต้องจัดการปัญหาต่างๆได้เป็นแน่"สือมาเฮงกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้ม

 

…………………..

 

1 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชิงสุ่ยยังคงตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนเพลงหมัดไทเก๊กอย่างสม่ำเสมอ ก่อนที่ศึกการประลองแห่งชีวิตและความตายจะเริ่มขึ้นในตอนเช้า

 

เวลาด้วยถูกตกลงกันเรียบร้อยแล้ว มันจะเริ่มก่อนยามบ่าย คนจะต้องมาถึงในก่อนเที่ยง ฉะนั้นจะถือว่าละเมิดข้อตกลงและจะต้องถูกลงโทษตามประกาศิตที่ตั้งไว้

 

"ชิงสุ่ยข้าเชื่อว่าเจ้ายังอยู่ที่นี่ เจ้ายังมีอารมณ์ฝึกฝนหมัดของเจ้าอยู่อีกหรือ ทุกคนกำลังรอเจ้าอยู่มิฉะนั้นพวกเราจะไปสาย"ติ๊เฉนกล่าวอย่างรีบร้อนขณะต้องมองชิงสุ่ย

 

"อะไรที่ทำให้ท่านตื่นตระหนกได้ขนาดนี้? บอกให้พวกเขารออีกสักครู่หนึ่ง และบอกให้ทุกคนรับยาเม็ดที่ข้าได้เตรียมไว้ให้ด้วย นอกเหนือจากสามคนที่จะเข้าร่วมการประลอง คนที่เหลือให้รอฟังคำสั่งของท่านหญิงต้วนมู่ ผู้อาวุโสหนานและผู้อาวุโสติ๊"ชิงสุ่ยค่อยๆลืมตาขึ้นแต่ก็ยังไม่หยุดการเคลื่อนไหวท่าทางฝ่ามือ

 

ติ๊เฉินยิ้มโดยไม่พูดอะไรต่อ!!

 

"พี่สาว เขาช่างเป็นคนที่เยือกเย็นเสียจริง"ติ๊ชิงหัวเราะหลังจากรู้เรื่องราวทั้งหมดและดูเหมือนเธอไม่มีความจำเป็นที่ต้องรีบร้อนเลย ถ้าหากเป็นคนอื่น คนเหล่านั้นคงจะทิ้งตระกูลติ๊และหนีเอาชีวิตรอดไปในทันที

 

"ไม่ต้องรีบร้อน ปล่อยให้พวกเขารออยู่ใต้แสงแดดมันร้อนรุ่มไปก่อน"ชิงสุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

 

"แล้วแต่เจ้าจะต้องการ"ติ๊ชิงดึงมือของดึงมือติ๊เฉินและจากไปพร้อมทั้งทิ้งรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ของเธอเอาไว้

 

ถนนเจ็ดดารา

 

ลานประลองเจ็ดดารา

 

ท่านที่ที่ประกาศเรื่องการประลองศึกแห่งชีวิตและความตาย บริเวณแห่งนี้พลันเปลี่ยนกลายเป็นสถานที่แออัดอย่างมาก มันคือการประลองระหว่าง 2 นิกายใหญ่ที่ ติดอันดับเจ็ดดวงดาวภายใต้อาณาจักรเจ็ดดารา แม้ว่าตระกูลติ๊จะไม่ได้โด่งดังเช่นเช่นในอดีต แต่พวกเขาก็ยังคงแข็งแรงไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาก็ย่อมยอดเยี่ยมเช่นกัน

 

ถนนเส้นทางเข้าสู่ลานประลองเจ็ดดาราถูกปิดกั้นจนหมด ไม่อนุญาตให้ผู้ใดข้ามผ่านแม้แต่คนเดียว พื้นที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดเพื่อตั้งเป็นซุ้มที่พักเพื่อเฝ้ามองการปรากฏตัวของเหล่าตระกูลเชียนซือ ตระกูลสือมา ตระกูลโจว ตระกูลกวน ตระกูลตู้

 

"นี่มันก็ช้ามากแล้ว เหตุใดตระกูลติ๊ถึงยังไม่มาปรากฏ?"ผู้คนมากมายเริ่มตะโกนถามคําถามออกมา

 

"ถ้าตระกูลติ๊ไม่โผล่หัวมา พวกเราจะมาเสียเวลารออยู่ที่นี่เพื่ออะไร นี่พวกเราก็รอเวลามานับวันแล้วนะ เพื่อเป็นสักขีพยานการประลองศึกแห่งชีวิตและความตายครั้งนี้"ผู้คนบางส่วนเริ่มพูดออกมาด้วยใบหน้าอันเศร้าหมอง

 

"พวกเขาควรปรากฏตัวได้แล้ว ถ้าหากพวกเขาขี้ขลาด พวกเขาก็ไม่ควรยอมรับการต่อสู้ตั้งแต่แรก"

 

………………………………..

 

เมื่อเวลาตอนเช้าสายๆผ่านไป มีบุคคลทั้งหมด 5 คนค่อยๆก้าวขึ้นสู่เวทีประลองเป็นชายชรา 3 คน และชายวัยกลางคนอื่นอีก 2 คน พุ่งทะยานขึ้นไปยืนอยู่กลางลานประลองเจ็ดดารา

 

ชายชราผู้ซึ่งเป็นผู้นำสวมชุดคลุมสีดำที่ดูเรียบง่าย เส้นผมและหนวดเคราของเขาถูกยอมจนกลายเป็นสีขาวโพลน คิ้วของเขายาวราวกับหิมะขาว แม้สีทั้งสองจะตัดกันแต่มันกลับทำให้เขาดูดีมากยิ่งขึ้น

 

"ในวันนี้ นิกายโอสถสังหารและตระกูลติ๊จะเริ่มต้นการประลองศึกแห่งชีวิตและความตาย ณ ที่แห่งนี้ ขอบคุณทุกท่านที่มาเป็นสักขีพยานในการต่อสู้ และเมื่อมันเป็นเรื่องส่วนตัวที่เกิดขึ้นระหว่างนิกายโอสถสังหารและตระกูลติ๊ข้าจึงขอข้ามรายละเอียดทั้งหมดไป ตอนนี้นิกายโอสถสังหารได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว ขอให้ทุกท่านรอคอยการปรากฏตัวของตระกูลติ๊ด้วยความสงบ"

 

คำพูดที่ดูเรียบง่ายของชายชราเป็นการประกาศเริ่มต้นงานประลองศึกแห่งชีวิตและความตายได้อย่างดี การประลองทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเรื่องส่วนตัว ซึ่งคนทั่วไปก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว พวกเขาสนใจเพียงแค่การประลองและอยากรู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ

 

"มันจะเริ่มแล้ว ช่างแย่จริงๆถ้ายังไม่เห็นพวกตระกูลติ๊ปรากฏตัวเลย"

 

"ข้าได้ยินข่าวจากใครบางคนมาว่า ที่ตระกูลติ๊พวกเขากำลังเลี้ยงฉลองกันอยู่"คำพูดของใครบางคนดังขึ้นขัดจังหวะคำพูดผู้อื่น

 

ผู้คนนับสิบล้อมรอบชายที่กล่าวในทันที

 

"จัดงานเลี้ยงรึ? พวกตระกูลติ๊ยังมีอารมณ์มันจัดงานเลี้ยงอีกอย่างนั้นหรือ?"ชายร่างสูงคนหนึ่งตะโกนขึ้นด้วยความสับสน

 

"เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้ แต่เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนที่พวกตระกูลติ๊กำลังจัดงานเลี้ยงอยู่ เพื่อนข้าเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่เข้าร่วมงานเลี้ยงจากตระกูลติ๊"

 

"พวกตระกูลติ๊วันที่จะทำอะไร? คงไม่ใช่เพราะว่าพวกมันหมดสิ้นความหวังและคิดจะกินอาหารมื้อสุดท้ายที่แสนอร่อยก่อนจะตายสินะ?"

 

"พี่ชายคง อย่าได้พูดเรื่องไร้สาระเลย บางสิ่งบางอย่างก็ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้"ชายคนหนึ่งรีบกล่าวหยุดคำพูดของเขา

 

"หรือว่าจะพวกคนเหล่านั้นกำลังคิดจะหนีด้วยการแสดงตบตา?"ชายรูปร่างผอมบางกล่าวถามอย่างสงสัย

 

"หนี? ตลกสิ้นดี เจ้าคิดอย่างนั้นรึว่าพวกวิจารณ์โอสถสังหารจะปล่อยให้พวกมันหนีไปได้?"น้ำเสียงของชายคนดังออกมา

 

เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างช้าๆ บางคนก็เริ่มบ่น ส่วนบางคนก็รู้สึกเศร้าใจในการกระทำของตระกูลติ๊ ซึ่งก็แน่นอนที่ต้องมีคนบางคนกำลังสบถด่าตระกูลติ๊อยู่ มันจึงกลายเป็นสีสันในการพูดคุย

 

"นิกายโอสถสังหารช่างอันธพาลเสียจริง ส่วนพวกตระกูลติ๊เองก็เล่ห์เหลี่ยมมิใช่ย่อย"ชายผู้ที่ดูมีภูมิความรู้กำลังพูดคุยกับหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง

 

"นี่สินะคือสิ่งที่ธรรมชาติสรรหา ไม่น่าแปลกเลยที่นิกายโอสถสังหารพยายามแสดงความกดดันออกมา"หญิงสาวโฉมงามหัวเราะออกมา ใบหน้าของเธอดูงดงามราวกับดอกไม้

 

" กั่วกั่ว ระหว่างตระกูลติ๊หรือนิกายโอสถสังหาร เจ้าคิดว่าใครเป็นผู้ชนะ?"ชายคนนั้นยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะจ้องมองหญิงสาวผู้นั้นด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรัก

 

"ข้าคิดว่าจะต้องเป็นตระกูลติ๊แน่ๆ มิเช่นนั้นท่านคงไม่พูดเช่นนี้"หญิงสาวโฉมงามหัวเราะอย่างสุภาพ

 

"เจ้าคงฉลาดเหมือนเดิม ไม่เลวๆ ข้ารู้สึกได้เช่นนั้นแต่ทุกอย่างก็ดูไม่ง่ายเลย ภายในลึกๆจิตใจของข้า ข้าก็ไม่ได้มั่นใจเลยว่าตระกูลติ๊จะสามารถเอาชนะมาได้โดยง่าย"ชายคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

 

" ผู้นำที่ 3 แห่งหมู่บ้านชีพคงกระพันของพวกเราช่างแสดงความสุขุมออกมาได้ตลอดเวลาเสียจริง เหตุการณ์ทั้งหมดจะไม่อาจดูได้เพียงแค่ผิวเผิน แต่เมื่อท่านพูดเช่นนี้ ความหมายมันคงไม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน มีเพียงแค่พวกเขาจะชนะได้อย่างเด็ดขาดหรือจะชนะมาด้วยความยากลำบากก็แค่นั้น"หญิงสาวโฉมงามกับตา

 

หลังจากเสียงแห่งความวุ่นวายเกิดขึ้นในตลอดเวลา เสียงเหล่านั้นก็ค่อยๆสงบลงเมื่อมองดูกลุ่มคนที่กำลังเดินทางมาจากที่อันแสนไกล

 

"ตระกูลติ๊มาถึงแล้ว พวกตระกูลติิ๊เดินทางมาถึงแล้ว………………….."

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด