ตอนที่แล้วเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 36 ฆ่าหั่นศพ (อ่านฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 38 ปีศาจท่ามกลางแสงสว่าง (อ่านฟรี)

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 37 การประนีประนอมและการข่มขู่ (อ่านฟรี)


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 37 การประนีประนอมและการข่มขู่ 

แปลโดย iPAT 

คฤหาสน์สกุลโม่

“ปัง!”

“ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดยังทำอีก?” ในห้องทำงาน โม่เฉินใช้มือทุบโต๊ะด้วยความโกรธ

โม่เยี่ยนยืนอยู่ด้านหน้าโม่เฉินด้วยศีรษะที่ก้มลง ความหวาดกลัวและความโกรธปรากฏอยู่ในดวงตาคู่นั้น นางพึ่งทราบข่าวเรื่องการเสียชีวิตของเกาเหวิน

เด็กหนุ่มอายุสิบห้าอาจมีวิธีการบางอย่างที่สามารถสังหารเกาเหวิน แต่สิ่งสำคัญก็คือเกาเหวินเป็นคนรับใช้ของครอบครัวสกุลโม่ นี่หมายความว่าฟางหยวนไม่เห็นครอบครัวสกุลโม่อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย

“ท่านปู่ไม่จำเป็นต้องโกรธ เกาเหวินผู้นี้เป็นเพียงคนรับใช้ เขาตายแล้วอย่างไร เขาไม่แม้แต่จะเป็นคนตระกูลแสงจันทร์ อย่างไรก็ตามฟางหยวนผู้นี้ช่างกล้าหาญนัก ก่อนที่เขาจะสังหารสุนัข เขาต้องรู้ว่าเจ้าของสุนัขคือผู้ใด แม้เขาจะฆ่าสุนัขของครอบครัวสกุลโม่ แต่เขาก็จะต้องตายเช่นกัน!”

โม่เฉินผุดลุกขึ้นยืนและตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว “หุบปาก! กล้าดีอย่างไรถึงขัดคำสั่งข้า! สิ่งที่ข้าเคยพูด จำได้บ้างหรือไม่?”

“หลานมิกล้า” โม่เยี่ยนตกใจมาก นางรู้ว่าตอนนี้ปู่ของนางกำลังโกรธมาก ดังนั้นนางจึงรีบคุกเข่าลง

โม่เฉินกล่าวต่อ “ฮืม...ยังไม่ต้องกล่าวถึงความตายของคนรับใช้ ความคิดของเจ้ายังคับแคบเกินไป เจ้ารู้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์นี้หรือไม่? เจ้ารู้ถึงความหมายของสิ่งนี้หรือไม่? การแข่งขันของผู้เยาว์เป็นเรื่องระหว่างเด็ก เจ้าเป็นผู้ใหญ่ เจ้าไม่มีสิทธิเข้าไปก้าวก่ายเรื่องนี้ นี่คือกฎ! เจ้าไม่ฟังคำกล่าวของข้าและไปสร้างปัญหาให้กับฟางหยวน เจ้ากำลังฝ่าฝืนกฎของตระกูล เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีกี่คนที่กำลังหัวเราะเยาะครอบครัวของเราอยู่ในขณะนี้!”

“ท่านปู่อย่าได้โกรธเคือง มันไม่ดีต่อสุขภาพ ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ข้าเป็นสมาชิกครอบครัวสกุลโม่ ไม่ว่าท่านปู่จะให้ข้าทำสิ่งใด ข้ายินดีทำตามทุกอย่าง แต่ฟางหยวนผู้นี้น่ารังเกียจและไร้ยางอายเกินไป แรกเริ่มเขาหลอกลวงข้าให้เข้าไปในหอพักศิษย์ จากนั้นเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในห้อง ไม่ว่าข้าจะสาปแช่งเขาอย่างไร เขาก็ไม่ออกมา สุดท้ายเมื่อข้าจากมา เขากลับสังหารเกาเหวิน เขาเป็นคนร้ายกาจและไร้ยางอายที่สุด!” โม่เยี่ยนกล่าว

“เป็นเช่นนั้น?” โม่เฉินยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะสงบจิตใจลงและพึมพำเบาๆ “ข้าเคยได้ยินบางอย่างมาเช่นกัน ฟางหยวนสามารถประพันธ์บทกวีที่ยอดเยี่ยมได้ตั้งแต่ยังเยาว์ เขาเป็นดาวเด่นมาตลอด แต่เขากลับมีพรสวรรค์เพียงนภาที่สาม มันเป็นเรื่องยากที่เขาจะคว้าพลังอำนาจมาได้ อย่างไรก็ตามตอนนี้ดูเหมือนเขาจะน่าสนใจทีเดียว”

โม่เฉินหยุดคิดชั่วครู่ก่อนจะออกคำสั่งกับคนรับใช้ “นำลังไม้ใบนั้นมาที่นี่”

“ท่านปู่ นี่คือสิ่งใด?” โม่เยี่ยนเปิดปากถามด้วยความสงสัย

“เหตุใดเจ้าไม่เปิดมันดูด้วยตัวเอง?” โม่เฉินหรี่ตามองและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ซับซ้อน

โม่เยี่ยนลุกขึ้นยืนอีกครั้งก่อนจะเปิดฝาลังไม้ออก

แต่เพียงเมื่อนางมองเข้าไปภายในลังไม้ใบนั้น การแสดงออกของนางกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง รูม่านตาของนางหดเล็กลงก่อนที่นางจะกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวและวิ่งถอยหลังกลับไปอย่างไร้สติ ฝาลังไม้หลุดจากมือของนางตกลงบนพื้นเสียงดังสนั่น

หลังจากฝาลังไม้ถูกเปิดออก สิ่งที่อยู่ภายในจึงเผยตัวออกมา

ร่างกายมนุษย์ที่ถูกแยกส่วนพร้อมกับเลือดจำนวนมากบรรจุอยู่ภายใน ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา กระเพาะอาหาร หรือกระดูกซี่โครง มันมีกระทั่งนิ้วมือและนิ้วเท้าที่ลอยอยู่บนผิวน้ำสีแดงเลือดอีกด้วย

“พรวด!”

ใบหน้าของโม่เยี่ยนเปลี่ยนสีขณะที่นางอาเจียนออกมาอย่างรุนแรง

นางเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสอง นางผ่านการฝึกฝนและกระทั่งเคยฆ่าคนมาบ้าง อย่างไรก็ตามนางไม่เคยเห็นสิ่งที่น่าสยดสยองเช่นนี้มาก่อน

กลิ่นสาบเลือดและเนื้อลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง

กระทั่งคนรับใช้ที่นำลังไม้ใบนี้เข้ามาและเคยเห็นสิ่งที่อยู่ภายในมาก่อนหน้ายังหน้าเปลี่ยนสี

ท่ามกลางกลุ่มสามคนที่อยู่ในห้อง มีเพียงโม่เฉินเท่านั้นที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมา เขาชำเลืองตามองลังไม้ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา “ลังไม้ใบนี้ถูกนำมาวางไว้ที่หน้าประตูหลังของคฤหาสน์สกุลโม่โดยฟางหยวน”

“อันใด?” โม่เยี่ยนกลัวมากจนไม่สามารถจินตนาการถึงใบหน้าของฟางหยวนได้

ครั้งแรกที่โม่เยี่ยนเห็นฟางหยวนที่โรงเตี้ยม ในสายตาของนาง ฟางหยวนเป็นเพียงเด็กชายร่างผอมบางผิวขาวซีดที่ดูธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่โดยไม่คาดคิดเขากลับบ้าคลั่งได้ถึงเพียงนี้

หลังจากความสะพรึงกลัว โม่เยี่ยนกลายเป็นโกรธแค้น “ฟางหยวนผู้นี้ช่างอำมหิตนัก เขากล้าหาญเกินไป เขาตั้งใจยั่วยุครอบครัวสุกลโม่ ข้าจะไปที่นั่นและจับตัวเขามาลงโทษเดี๋ยวนี้!” โม่เยี่ยนก้าวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว

“ปัง!”

“โง่เขลา! หยุดอยู่ตรงนั้น!” โม่เฉินยกหินฝนหมึกบนโต๊ะขึ้นมาและเขวี้ยงมันออกไปด้วยความโกรธ

หินฝนหมึกกระแทกไหล่ของโม่เยี่ยนอย่างแรงเป็นเหตุให้นางล้มลงบนพื้นทันที

“ท่านปู่!” โม่เยี่ยนกรีดร้อง

โม่เฉินยืนขึ้นและชี้นิ้วไปที่หลานสาว “จงใช้สมองคิดให้มากกว่านี้! ดูเหมือนว่าการฝึกฝนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของเจ้าจะไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ข้ารู้สึกผิดหวังกับเจ้านัก เพื่อจัดการกับผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งขั้นต้น เจ้านำคนมากมายออกไปปิดล้อมเขาแต่กลับเป็นเจ้าที่ถูกจูงจมูก ตอนนี้ด้วยความโกรธ เจ้ายังสูญเสียเหตุผลทั้งหมด เจ้าเข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังการกระทำในครั้งนี้ของฟางหยวนหรือไม่?”

“ความหมายงั้นหรือ?” โม่เยี่ยนถามด้วยความงุนงง

“หากเขาต้องการยั่วยุพวกเราและขยายเรื่องราวนี้ให้ใหญ่โตขึ้น เหตุใดเขาถึงไม่วางลังไม้ใบนี้ไว้หน้าประตูใหญ่แต่กลับวางไว้ที่ประตูหลังและมีเพียงไม่กี่คนที่เห็นมัน!” โม่เฉินกล่าว

“ไม่ถูกต้อง หากเขาต้องการประนีประนอม เขาควรมาขอโทษ เขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ นี่คือการยั่วยุทั่วไปเท่านั้น!” โม่เยี่ยนตอบโต้

โม่เฉินถอนหายใจก่อนส่ายศีรษะ “เขาต้องการประนีประนอมแต่เขาก็ข่มขู่พวกเราในเวลาเดียวกัน เขาวางลังไม้ไว้ที่ประตูหลัง นี่คือการประนีประนอม แต่สิ่งที่อยู่ในลังไม้คือการข่มขู่”

“ดู!” โม่เฉินชี้นิ้วไปที่ลังไม้ “ลังไม้ใบนี้เล็กเกินไป มันไม่สามารถบรรจุศพทั้งหมดเอาไว้ ด้วยสิ่งนี้มันบ่งบอกว่าเขาไม่ต้องการขยายเรื่องราวในครั้งนี้ออกไป เขาไม่ต้องการมีปัญหากับครอบครัวสกุลโม่ อย่างไรก็ตามหากครอบครัวของเราไม่ปล่อยเขาไปและทำให้มันเป็นเรื่องราวใหญ่โต คราวหน้าเขาจะวางซากศพทั้งหมดไว้ที่ประตูหน้าของคฤหาสน์ เมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายต้องเผชิญหน้ากับปัญหาร้ายแรง ตระกูลจะรู้ในที่สุดว่าครอบครัวสกุลโม่ของเราเริ่มฝ่าฝืนกฎเป็นฝ่ายแรก ในอนาคตตระกูลจะไม่ให้การสนับสนุนครอบครัวของเราและทำให้ครอบครัวของเราตกต่ำลงเรื่อยๆ”

เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ โม่เยี่ยมทำได้เพียงอ้าปากค้างด้วยความหวาดกลัว นางไม่คาดคิดว่าฟางหยวนจะมีความคิดลึกซึ้งถึงเพียงนี้

“นี่เป็นวิธีการที่ลึกซึ้งมาก” โม่เฉินกล่าว “ด้วยการกระทำเดียว มันบอกได้ถึงความโอนอ่อนและยอมแพ้อย่างสมเหมาะแต่มันก็เป็นการข่มขู่ครอบครัวของพวกเราในขณะเดียว เมื่อชื่อเสียงของครอบครัวสกุลโม่เสียหาย ครอบครัวสกุลซื่อจะโจมตีพวกเราทันที”

โม่เยี่ยนกล่าวเสียงเบา “ท่านปู่ประเมินเขาสูงเกินไปหรือไม่? เขาอายุเพียงสิบห้า...”

“ประเมินสูงเกินไปงั้นหรือ?” โม่เฉินมองหลานสาวด้วยความไม่พอใจ “ดูเหมือนเจ้าจะได้รับอิสระมานานเกินไป มันทำให้เจ้าบ่มเพาะนิสัยแย่ๆให้แก่ตนเอง เจ้าไม่แม้แต่จะสามารถมองเห็นความเป็นจริง ประการแรก ฟางหยวนสามารถเยือกเย็นขณะเผชิญหน้ากับผู้ใช้วิญญาณระดับสองเช่นเจ้าและยังสามารถล่อลวงให้เจ้าไปที่หอพักของศิษย์ จากนั้นเขายังมีไหวพริบพอที่จะซ่อนตัวอยู่ในห้อง แม้เจ้าจะตะโกนสาบแช่งหรือยั่วยุเขามากเพียงใด เขาก็ยังไม่หวั่นไหว นี่คือความอดทนและความเยือกเย็น สุดท้ายเมื่อเจ้าจากมา เขาก็สังหารเกาเหวิน นี่คือความเด็ดเดี่ยวและความกล้าหาญ ตอนนี้เขานำลังไม้ใบนี้มาวางไว้หน้าประตูหลังอย่างชาญฉลาด เจ้ายังคิดว่าข้าประเมินเขาสูงเกินไปอีกหรือไม่?”

ปากของโม่เยี่ยวอ้าค้าง นางไม่คิดว่าปู่ของนางจะให้ความสนใจฟางหยวนถึงเพียงนี้ ดังนั้นนางจึงกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ “แต่เขามีพรสวรรค์เพียงนภาที่สาม!”

โม่เฉินถอนหายใจก่อนกล่าวต่อ “สติปัญญากับพรสวรรค์ในการบ่มเพาะเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นอกจากนั้นเขายังมีความสามารถในการต่อสู้ อย่างไรก็ตามเขามีพรสวรรค์นภาที่สามจริงๆ หากเขามีพรสวรรค์นภาที่สอง เขาจะกลายเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ในตระกูลแสงจันทร์ของพวกเรา น่าเสียดายที่เขามีพรสวรรค์เพียงนภาที่สาม”

โม่เยี่ยนเงียบเสียงลง ตอนนี้ใบหน้าของฟางหยวนที่อยู่ในความคิดของนางถูกปกคลุมไปด้วยชั้นเมฆหมอกหนาทึบทำให้เขาดูลึกลับและน่าสะพรึงกลัว

“เจ้าเป็นผู้ก่อเหตุ เจ้าคิดว่าควรแก้ปัญหานี้อย่างไร?” โม่เฉินถาม

หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ โม่เยี่ยนจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “เกาเหวินเป็นเพียงคนรับใช้ที่ไร้ค่า ส่วนฟางหยวนเป็นผู้ใช้วิญญาณของตระกูล แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือพวกเราต้องปกป้องชื่อเสียงของครอบครัว ในกรณีนี้พวกเราต้องกำจัดครอบครัวของเกาเหวินทุกคนทั้งเด็กและแก่เพื่อแสดงให้เห็นว่าครอบครัวของเราให้ความสำคัญกับกฎระเบียบของตระกูลแสงจันทร์!”

“ดีมาก เจ้ายังรู้จักควบคุมอารมณ์และคิดถึงผลประโยชน์ของครอบครัว แต่มันยังขาดอยู่อีกเล็กน้อย” โม่เฉินกล่าวเสียงเรียบ

“ท่านปู่โปรดชี้แนะด้วย” โม่เยี่ยนป้องหมัดและก้มศีรษะคำนับ

โม่เฉินกล่าวเสียงเบา “เจ้าจะต้องเก็บตัวอยู่อย่างเงียบๆเป็นเวลาเจ็ดวันและอย่าสร้างปัญหาให้กับฟางหยวนอีก สำหรับเกาเหวิน คนรับใช้ที่กล้าทำร้ายเจ้านาย เขาสมควรตายแล้ว นอกจากนี้เมื่อเขาเป็นคนรับใช้ที่ขาดการอบรมของครอบครัวสกุลโม่ พวกเราจึงต้องรับผิดชอบด้วยการมอบหินวิญญาณสามสิบก้อนให้แก่ฟางหยวน สำหรับครอบครัวของเกาเหวิน มอบหินวิญญาณให้พวกเขาห้าสิบก้อนและขับไล่ออจากคฤหาสน์” โม่เฉินหยุดก่อนจะกล่าวต่อ “ระหว่างเจ็ดวันนี้ เจ้าจงพักผ่อนอยู่ในบ้านและค้นหาความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังวิธีการของปู่”

“ทราบแล้ว ท่านปู่”