ตอนที่แล้วเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 22 ดาบแสงจันทร์โบยบิน (อ่านฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 24 ผู้ใช้วิญญาณสายต่อสู้ระยะประชิด (อ่านฟรี)

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 23 การเลี้ยงดูวิญญาณก็เหมือนกับการเอาใจหญิงสาว (อ่านฟรี)


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 23 การเลี้ยงดูวิญญาณก็เหมือนกับการเอาใจหญิงสาว 

แปลโดย iPAT 

ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าไปในไม่ช้า

ภายในสถานศึกษา หลังจากชั่วโมงเรียนจบลง เด็กหนุ่มสาวต่างจับกลุ่มกันเดินจากไป

“ข้ามีความสุขมากที่ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างในวันนี้ โดยเฉพาะวิธีการใช้วิญญาณแสงจันทร์”

“วิธีการโบยบินของดาบแสงจันทร์ช่างยอดเยี่ยมนัก น่าเสียดายที่ความสามารถของข้าไม่เพียงพอ ในอนาคตข้าคงเป็นได้เพียงผู้ใช้วิญญาณสายสนับสนุนเท่านั้น ข้าไม่สามารถเข้าสู่สนามรบ”

เด็กหนุ่มสาวพูดคุยกันอย่างมีความสุข

“ไปโรงเตี้ยมกันเถอะ พวกเราไปดื่มเหล้าองุ่นที่นั่น พวกเจ้าคิดอย่างไร?”

“แน่นอน จะไม่ไปได้อย่างไร?”

“พวกเจ้าไปกันก่อนเถอะ ข้าต้องไปร้านค้าเพื่อซื้อหุ่นฟาง มันจะสะดวกมากหากสามารถนำมันกลับไปฝึกซ้อมที่บ้าน”

ด้านฟางหยวน เขาเดินไปยังห้องโถงวิญญาณเพียงลำพัง

ห้องโถงวิญญาณเป็นสถานที่เก็บวิญญาณระดับหนึ่งของสถานศึกษา มันมีวิญญาณมากมายและหลากหลายชนิดให้เลือกสรร สำหรับศิษย์ใหม่ พวกเขามีโอกาสเลือกรับวิญญาณได้หนึ่งครั้ง หลังจากนั้นหากพวกเขาต้องการวิญญาณเพิ่มเติม พวกเขาต้องจ่ายค่าธรรมเนียม

อย่างไรก็ตามฟางหยวนไม่มีความคิดที่จะปรับแต่งวิญญาณดวงอื่นเพิ่มอีกในช่วงเวลานี้ เป้าหมายของเขาเป็นร้านค้าที่อยู่ติดกับห้องโถงวิญญาณ

ภายในร้านค้ามีเด็กหนุ่มสาวเจ็ดคนอยู่ที่นั่น พวกเขากำลังเจรจาขอซื้อหุ่นฟางจากผู้ดูแลร้านค้า

“เป็นเจ้า น้องชาย” ผู้ดูแลร้านค้าอายุประมาณยี่สิบผู้หนึ่งกล่าวทักทายฟางหยวนขณะที่กำลังเจรจาต่อรองกับลูกค้าคนอื่นๆในเวลาเดียวกัน

ฟางหยวนประหลาดใจเมื่อเห็นว่าชายผู้นี้เพราะเขาก็คือเจียงหยา ผู้ใช้วิญญาณที่สั่งสอนกลุ่มนักล่าที่โรงเตี้ยมก่อนหน้านี้นั่นเอง

“อา...เป็นพี่ชาย” ฟางหยวนพยักหน้า

เจียงหยาส่งหุ่นฟางให้กับเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่ตกลงซื้อมัน จากนั้นจึงหันกลับมาส่งยิ้มให้กับฟางหยวนอีกครั้งอย่างเป็นมิตรก่อนจะเปิดปากถาม “น้องชายมาที่นี่เพื่อซื้อหุ่นฟางใช่หรือไม่? หากเจ้าต้องการมัน เจ้าต้องใช้หินวิญญาณสามก้อน ตอนนี้มันเป็นสินค้าขายดีและเหลืออยู่เพียงเจ็ดตัวเท่านั้น หากเจ้าตัดสินใจช้า มันอาจหมดเร็วๆนี้”

เจียงหยาค่อนข้างเย่อหยิ่งต่อหน้ามนุษย์ธรรมดา แต่กับผู้ใช้วิญญาณ เขากลายเป็นสุภาพอย่างไม่น่าเชื่อ

ฟางหยวนส่ายศีรษะและลอบหัวเราะอยู่อย่างลับๆ เขาคิดว่าเจียงหยาผู้นี้มีพรสวรรค์ในการค้าขายจริงๆ หุ่นฟางเป็นวิญญาณสายพฤกษา แม้มันจะมีการใส่พลังวิญญาณเข้าไปเล็กน้อย แต่มูลค่าของมันก็ไม่ควรเกินหนึ่งกับอีกครึ่งหินวิญญาณ แต่เนื่องจากความต้องการของผู้ซื้อที่เพิ่มสูงขึ้นในเวลานี้ เขาจึงขึ้นราคาสินค้าทันที นอกจากนั้นเขายังกดดันลูกค้าเพื่อให้เกิดการแก่งแย่งด้วยการกล่าวอ้างถึงจำนวนที่มีอยู่อย่างจำกัด เช่นนี้แล้วจะไม่ให้ฟางหยวนชื่นชมความสามารถในการค้าขายของเขาได้อย่างไร

“พี่ชาย นั่นไม่ยุติธรรม พวกเรามาถึงก่อน เหตุใดไม่ขายให้พวกเราก่อน?”

“ถูกต้อง พวกเรามาก่อน หากท่านต้องการทำการค้า ท่านควรรู้กฎข้อนี้”

“สามก้อนก็สามก้อน นี่หินวิญญาณสามก้อน นำหุ่นฟางมาให้ข้า!”

เด็กๆในร้านค้าเต็มไปด้วยความกังวลเมื่อได้ยินว่ามีหุ่นฟางเหลืออยู่ในร้านเพียงเจ็ดตัว ดังนั้นพวกเขาจึงหยุดการเจรจาต่อรองและหยิบหินวิญญาณออกมาทันที

อย่างรวดเร็ว เด็กเจ็ดคนถือหุ่นฟางออกไปจากร้านค้าด้วยความพึงพอใจ

“น้องชาย เจ้ายังสนใจซื้อหุ่นฟางอยู่หรือไม่?” เจียงหยาหัวเราะ “ดูเหมือนมันยังพอมีเหลืออยู่อีกตัวหนึ่ง หากน้องชายไม่รีบซื้อตอนนี้ เจ้าอาจเสียใจในภายหลัง”

ฟางหยวนไม่สนใจหุ่นฟางแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามเขาหยิบหินวิญญาณออกมาวางลงบนโต๊ะก่อนกล่าว “ข้าต้องการซื้อกลีบกล้วยไม้จันทราสิบชิ้น”

เจียงหยาตะลึง เขามองเข้าไปในดวงตาของฟางหยวนชั่วครู่ก่อนจะหยิบบางสิ่งออกมาจากชั้นเก็บของและส่งให้ฟางหยวนด้วยความงุนงง “กลีบกล้วยไม้จันทราสิบชิ้น ไม่ขาดไม่เกิน โปรดตรวจนับ”

ฟางหยวนตรวจสอบสินค้าก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

วิญญาณต้องการอาหาร!

ผู้ใช้วิญญาณจะปรับแต่งวิญญาณ ใช้ประโยชน์จากวิญญาณ และในเวลาเดียวกันก็ต้องเลี้ยงดูพวกมัน

การปรับแต่งวิญญาณเป็นเรื่องยากและมีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีสวนกลับ การใช้วิญญาณไม่ใช่เรื่องง่าย คนผู้หนึ่งจำเป็นต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ สำหรับการเลี้ยงดูวิญญาณ มันยิ่งลึกซึ้งกว่า เนื่องจากวิญญาณแต่ละชนิดมีความต้องการที่แปลกประหลาดและแตกต่างกัน บางชนิดกินดิน บางชนิดต้องดูดกลืนแสงดาว บางชนิดต้องการน้ำตา และบางชนิดกระทั่งกลืนกินก้อนเมฆบนท้องฟ้า

สำหรับวิญญาณสามดวงในการครอบครองของฟางหยวน วิญญาณแสงจันทร์ต้องการกล้วยไม้จันทราวันละสองมื้อเช้าค่ำ แต่ละมื้อมันจะดูดซับพลังงานจากกล้วยไม้จันทราจำนวนสองกลีบ สำหรับวิญญาณสุรา แน่นอนว่ามันกินสุราเป็นอาหาร สุราไผ่เขียวหนึ่งไหเลี้ยงดูมันได้เป็นเวลาสี่วัน สำหรับวิญญาณกาลเวลา มันยิ่งยุ่งยาก มันต้องดื่มน้ำจากสายธารแห่งกาลเวลาเพื่อมีชีวิตอยู่

สายธารแห่งกาลเวลาเป็นสิ่งค้ำจุนโลกใบนี้ มันเหมือนอยู่ห่างไกล แต่ในความจริงมันอยู่ใกล้มาก กล่าวได้ว่าทุกการเคลื่อนไหวของทุกสิ่งบนโลกใบนี้กำลังผลักดันกาลเวลาให้เดินหน้าต่อไป

กาลเวลาเหมือนสายน้ำที่ไหลไปข้างหน้า สายธารแห่งกาลเวลาไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างมีชีวิตอยู่ ตกตาย และแหวกว่ายอยู่ในสายธารแห่งกาลเวลาทั้งสิ้น

หลังจากซื้อกล้วยไม้จันทรา ฟางหยวนกลับไปยังโรงเตี้ยมพักแรมเพื่อซื้อสุราไผ่เขียว ในความเป็นจริงวิญญาณสุราสามารถดื่มกินสุราข้าวหมักทั่วไป แต่มันจำเป็นต้องดื่มกินสุราชั้นต่ำเหล่านั้นเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าเพื่อให้พอเพียงต่อความต้องการของมัน หลังจากคำนวณค่าใช้จ่ายอย่างรอบคอบ ฟางหยวนตัดสินใจใช้สุราไผ่เขียวในการเลี้ยงดูมัน

“นายน้อย ท่านมาแล้ว” เสี่ยวเอ้อประจำร้านรู้จักฟางหยวนเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นฟางหยวนจึงวางหินวิญญาณลงบนโต๊ะจำนวนสามก้อนก่อนกล่าว “นำสุราไผ่เขียวมาให้ข้าหนึ่งไหพร้อมกับอาหารอีกสองสามอย่าง เงินทอนไม่ต้อง เพียงนำของมาให้ข้าก่อน แล้วลงบัญชีเอาไว้ ทุกสิ้นเดือนข้าจะมาชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมด”

ปัจจุบันฟางหยวนไม่ได้พักแรมอยู่ที่โรงเตี้ยมแห่งนี้อีกต่อไป ตอนนี้เขาย้ายไปอยู่ที่บ้านพักศิษย์ในสถานศึกษา แต่เขายังมาที่นี่เพื่อทานอาหารและซื้อสุราอยู่เสมอ

“ได้ ได้ นายน้อยเชิญนั่งก่อน อาหารจะมาถึงอย่างรวดเร็วที่สุด” เสี่ยวเอ้อกล่าวและนำฟางหยวนไปที่โต๊ะอาหาร

ฟางหยวนกินอาหารไปพร้อมกับคิดคำนวณ ‘หินวิญญาณหนึ่งก้อนสามารถซื้อกล้วยไม้จันทราได้สิบกลีบ วิญญาณแสงจันทร์กินสี่กลีบทุกวัน สุราไผ่เขียวหนึ่งไหมีราคาสองหินวิญญาณ มันเลี้ยงวิญญาณสุราได้สี่วัน กล่าวอีกอย่างในหนึ่งวันข้าต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูวิญญาณทั้งสองดวงด้วยหินวิญญาณหนึ่งก้อน’

มันดูเหมือนไม่มากนัก แต่แท้จริงแล้วมันค่อนข้างมาก ต้องรู้ว่าค่าใช้จ่ายตลอดหนึ่งเดือนของมนุษย์ธรรมดาหนึ่งครัวเรือนคือหินวิญญาณเพียงหนึ่งก้อน แต่สำหรับฟางหยวน ในช่วงเวลาสิบหกวันที่ผ่านมา เขาใช้หินวิญญาณไปแล้วถึงสิบสี่ก้อนกับอีกครึ่งหนึ่ง

‘ข้าได้รับมรดกของนักบวชปีศาจสุราดอกไม้ ได้หินวิญญาณจากฟางเจิ้ง และได้รางวัลที่หนึ่งในการปรับแต่งวิญญาณ ดังนั้นหินวิญญาณของข้าจึงมีอยู่ทั้งสิ้นสี่สิบสี่ก้อนกับอีกครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ตามข้าใช้หกก้อนในการปรับแต่งวิญญาณ สิบสี่ก้อนเป็นค่าอาหารของพวกมัน และครึ่งก้อนเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของข้า ตอนนี้ข้าเหลือหินวิญญาณอยู่ยี่สิบก้อน’

จากการคำนวณ ด้วยหินวิญญาณที่เขามีอยู่ในขณะนี้ มันเพียงพอให้เขาใช้จ่ายไปได้อีกประมาณครึ่งเดือนเท่านั้น

สำหรับเด็กคนอื่นๆ พวกเขามีครอบครัวให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง พวกเขาไม่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย อาจมีเพียงฟางหยวนผู้เดียวเท่านั้นที่ต้องดูแลตัวเองเช่นนี้

‘ลุงกับป้าตัดค่าใช้จ่ายของข้าทิ้งไปหมดแล้ว แต่สถานศึกษาของหมู่บ้านยังมอบหินวิญญาณให้กับศิษย์ทุกคนจำนวนสามก้อนทุกสัปดาห์ ดูเหมือนข้าต้องแสดงความสามารถในการใช้ดาบแสงจันทร์เพื่อให้ได้รับรางวัลหินวิญญาณสิบก้อนในสามวันข้างหน้า’ ฟางหยวนคิดขณะทานอาหาร

หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้ว เขาก็ถือไหสุราเดินจากไปทันที

แต่ในจังหวะนี้เสี่ยวเอ้อกลับรีบวิ่งตามเขาออกมาพร้อมกับตะโกนว่า “นายน้อย ข้าต้องแจ้งข่าวบางอย่างกับท่าน อีกไม่ถึงหนึ่งเดือนขบวนสินค้าจะเดินทางมาที่นี่ จากการพูดคุย พวกเขาต้องการซื้อสุราไผ่เขียวของพวกเรา เนื่องจากนายน้อยชื่นชอบสุราไผ่เขียวและมาซื้อสุราไผ่เขียวของร้านเราเป็นประจำ เฒ่าแก่จึงสั่งให้ข้ามาแจ้งข่าวนี้ให้นายน้อยทราบ เนื่องจากสุราไผ่เขียวของพวกเรามีจำนวนจำกัด หากพวกเราขายให้กับกลุ่มพ่อค้าไปแล้ว ข้าเกรงว่าร้านของเขาจะเหลือมันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

“เป็นเช่นนั้น?” ฟางหยวนขมวดคิ้ว สถานการณ์นี้คล้ายคลึงกับวิธีการที่เจียงหยาใช้ขายสินค้า แต่ด้วยประสบการณ์ห้าร้อยปี ฟางหยวนตัดสินได้ว่าคำพูดของเจียงหยาเป็นกลยุทธ์การขายสินค้าแต่คำพูดของเสี่ยวเอ้อผู้นี้เป็นเรื่องจริง

มันกลายเป็นเรื่องยุ่งยากเล็กน้อยเนื่องจากฟางหยวนจำเป็นต้องใช้สุราไผ่เขียวจำนวนมากเพื่อเลี้ยงดูวิญญาณสุรา หากเขาใช้สุราทั่วไป เขาต้องซื้อมันมากขึ้นและจะทำให้ผู้คนรู้สึกสงสัย ดังนั้นเขาจึงหยิบหินวิญญาณสิบก้อนออกมาโดยไม่ลังเล “ข้าจะซื้ออีกห้าไห เจ้าจงนำมันออกมาและตามไปส่งที่บ้านพักของข้า”

“รับทราบขอรับ” เสี่ยวเอ้อรับหินวิญญาณไปอย่างรวดเร็ว

กลีบดอกกล้วยไม้จันทราสามารถเก็บรักษาไว้ได้เพียงห้าวัน ฟางหยวนจึงไม่ได้ซื้อมันมากักตุนเอาไว้ แต่สำหรับสุราไผ่เขียวมันไม่มีปัญหาในเรื่องของการเก็บรักษา

หลังจากเห็นถุงเงินแบนราบ ช่วยไม่ได้ที่ฟางหยวนจะถอนหายใจออกมา

การปรับแต่งวิญญาณเป็นเรื่องยาก แต่การเลี้ยงดูวิญญาณยิ่งยากกว่า

มันเป็นเพียงเพราะประสบการณ์ห้าร้อยปีของฟางหยวนที่ทำให้เขาไม่ต้องฝึกฝนการใช้วิญญาณและสามารถประหยัดเงินได้มาก

‘โชคดีที่วิญญาณกาลเวลากินสายธารแห่งกาลเวลาเป็นอาหารและไม่ต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมอีก มิฉะนั้นข้าคงล้มละลายเร็วๆนี้’

โดยปกติแล้วยิ่งเป็นวิญญาณระดับสูงเท่าใด พวกมันก็ยิ่งต้องการอาหารระดับสูงเท่านั้น สิ่งที่ยุ่งยากที่สุดคือวิญญาณบางดวงต้องการอาหารที่หายากและอาจไม่มีขายในท้องตลาด

ตัวอย่างเช่นวิญญาณกาลเวลาที่กินกาลเวลาเป็นอาหาร แม้ผู้ใช้วิญญาณจะมีเงินทองมากมายเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถซื้อกาลเวลาได้จากท้องตลาด

ตามทฤษฎี ผู้ใช้วิญญาณสามารถปรับแต่งวิญญาณได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดตราบเท่าที่คนผู้นั้นสามารถปรับแต่ง อาจเป็นสิบหรือนับร้อยก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของคนผู้นั้น

แต่โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณจะปรับแต่งวิญญาณไม่เกินสี่หรือห้าดวงเท่านั้น

เพราะเหตุใด?

ชัดเจนว่าเพราะค่าใช้จ่าย

ยิ่งวิญญาณระดับสูง มันก็ยิ่งมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งมีวิญญาณมากเท่าใด ผู้ใช้วิญญาณก็ยิ่งปวดหัวมากเท่านั้น

อย่างไรก็ตามยังมีเหตุผลอีกประการหนึ่ง นั่นคือไม่สามารถใช้งานได้

ตัวอย่างเช่นเพื่อปลดปล่อยดาบแสงจันทร์ออกไปหนึ่งครั้ง ผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งต้องจ่ายด้วยพลังวิญญาณหนึ่งในสิบส่วน แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์นภาที่สาม ทะเลวิญญาณของพวกเขามีอยู่เพียงสามสิบหรือสี่สิบจากหนึ่งร้อยส่วน นั่นหมายความว่าพวกเขาสามารถใช้ดาบแสงจันทร์ได้สามหรือสี่ครั้งเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้แม้จะมีวิญญาณจำนวนมาก มันก็ไร้ประโยชน์หากไม่สามารถใช้งาน

อาจกล่าวได้ว่าการบ่มเพาะของผู้ใช้วิญญาณเหมือนกับการเอาใจหญิงสาวสูงศักดิ์

เพื่อทำให้หญิงสาวพึงพอใจ จำเป็นต้องซื้อหาอาหาร เสื้อผ้า คฤหาสน์ และอื่นๆอีกมากมายให้กับพวกนาง แน่นอนว่ามันเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก แล้วผู้ชายธรรมดาจะจ่ายไหวได้อย่างไร?

แม้จะมีเงินออม แต่ปราศจากกำลังทรัพย์ที่เพียงพอ พวกเขาก็ไม่สามารถรับมือได้ตลอดไปหรือต้องกรีดเนื้อเฉือนหนังของตนเองเพื่อดูแลพวกนางเพียงครั้งหนึ่งก่อนที่จะมองดูพวกนางจากไปโดยอาจไม่แม้แต่จะเคยสัมผัสปลายเส้นผมของหญิงเหล่านั้น

อย่างไรก็ตามมีเพียงการยกระดับการบ่มเพาะของผู้ใช้วิญญาณเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาไม่ล้มละลาย