ตอนที่แล้วตอนที่ 70 หนีจาก (7/11/17)
ทั้งหมดรายชื่อตอน

ตอนที่ 71 หลบหนี (9/11/17)


71

 

สิ่งที่มันต้องทำอย่างแรกคือตราผนึกปิดกั้นอาณาเขตเพื่อกักขัง ความจริงมันก็อยากทำไว้สักหลายๆที่ แต่ด้วยระยะเวลาอันกระชั้นและความสามารถของมันตอนนี้ก็วางได้แค่จุดเดียวแบบแคบๆ ซึ่งน่าจะสามารถกักขังขั้นมนุษย์ผู้หนึ่งได้ราวๆสิบห้านาที แม้ไม่นานแต่นั่นเป็นความหวังเดียว

การวางผนึกต้องบีบอัดพลังปราณให้เป็นอักษรก่อนจะวาดลงบนพื้นดิน แต่น่าแปลกที่พลังปราณปกติเท่านั้นที่ทำได้ เพราะหากเมื่อกระตุ้นสายเลือดให้พลังปราณอีกสายปรากฏมันไม่อาจบีบอัดพลัง นับว่าเมื่อได้เรียนรู้วิธีการผนึกนี้มันก็ค้นพบข้อเสียของสานเลือดนั้นเข้า แม้ไม่ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้งก็ยังนับว่าเป็นปัญหาอย่างมาก

จางหมิงเลิกคิดถึงเรื่องอื่นแล้วหันมาสนใจการวางรูปแบบพื้นที่ผนึกตรงหน้า ตวัดมือวาดเป็นคำก่อนจะส่งพลังปราณเข้าไปแล้วสะกดลงบนพื้นดิน ปรากฏริ้วสีทองบางเบาก่อนจะหายไป

ฟุบ!

“พวกเจ้าคิดว่าที่นี่คือที่ไหนถึงได้มาเที่ยวเล่นเช่นนี้”

ผู้เฝ้าประตูทั้งสองมาหยุดยืนห่างจากหมิงไปไม่ไกลพอดีกับที่จางหมิงเสร็จสิ้นการวางผนึก มันคล้ายไม่หวาดกลัวก็จริงแต่ความระแวดระวังเต็มเปี่ยม ในหัวกำลังคิดจะหาหนทางให้หนึ่งในพวกมันเข้ามาติดกับ

“เพราะข้ารู้ว่ามันคือที่ไหนอย่างไรเล่าจึงได้มา” จางหมิงตอบออกไป

“เหอะ! ดูแล้วเจ้าคงเป็นเพียงแค่ศิษย์สายนอกยังกล้ามาถึงเขตภายในแห่งนี่นับว่าไม่กลัวตายจริงๆ” ยังเป็นคนเดิมที่พูดกับมัน อีกคนหนึ่งยังคงเงียบขรึมและจ้องมองจางหมิงอย่างสงสัย

“ใครเล่าจะไม่กลัวตาย แต่ข้าจำเป็นต้องมา ท่านพอจะปล่อยข้าไปได้หรือไม่”

“วาจาไร้สาระ! โทษของการเข้ามายังสถานที่แห่งนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตต้องถูกลงโทษตามกฎสูงสุดของสำนัก และเจ้าที่เป็นเพียงศิษย์สายนอกไม่อาจปฏิเสธหรือผ่อนผันได้”

“ข้าก็ไม่ได้คิดว่ามันจะง่ายดายปานนั้น” จางหมิงถอนหายใจแล้วยิ้มอยู่กับที่

“เหอะ รู้ตัวก็ดี เช่นนั้นจงไปกับข้าเพื่อรับโทษจากผู้อาวุโส”

ศิษย์ในสำนักหลายคนมาจากตระกูลที่ดี การจะตัดสินโทษที่ร้ายแรงจำต้องพึ่งพาผู้อาวุโสของสำนัก อีกทั้งหอสมบัติเป็นพื้นที่ห้ามเข้าก็จริงแต่ไม่ใช่พื้นที่หวงห้าวอย่างถาวรเช่นวงกตบางแห่งในสำนัก โทษที่สูงสุดคือสังหาร แต่จางหมิงยังไม่ถึงกับต้องใช้กฎที่ร้ายแรงปานนั้น แต่มันก็มีข้อยกเว้นเช่นกัน นั่นคือผู้ทำผิดต้องไม่ขัดขืนการคุมตัว

หากจางหมิงมีหรือจะนิ่งเฉยให้คร่ากุมง่ายๆ

เมื่อผู้เฝ้าประตูที่คุยกับมันก้าวเข้ามาใกล้ ก่อนจะแตะถึงตัวมันผนึกบนพื้นก็ทำงาน

แสงสีทองเรืองวาบจนอีกฝ่ายขยับกายหมายจะหลบหนีแต่ก็ช้าเกินไปอยู่ดี แผ่นหลังเหมือนชนเข้ากับกำแพงไร้รูปร่าง ผู้ถูกคุมขังขมวดคิ้วแน่นก่อนจะซัดฝ่ามือออกไปเต็มแรง ขณะนั้นเหมือนอากาศเบื้องหน้าสั่นไหวแต่กำแพงก็ยังไม่มีวี่แววที่จะพังลงจึงได้สบถเบาๆแล้วจ้องจางหมิงเขม็ง

“ทำได้ดี คิดว่าค่ายผนึกเล็กๆนี่จะช่วยให้เจ้ารอดสินะ อย่าได้ฝัน!” เจ้าของคำพูดกัดฝันว่ากล่าวพร้อมกำลงมือใส่ผนึกอีกครั้งอย่างรุนแรง

จางหมิงไม่ได้สนใจอีกฝ่ายที่กำลังดิ้นรน มันจ้องไปยังผู้เฝ้าประตูอีกคนที่ยังคงเงียบอยู่ รอบข้างยิ่งมายิ่งมองเห็นได้ชัดขึ้นจากดวงตะวันที่โผล่พ้นขอบฟ้ามาบ้าง เมื่ออีกฝ่ายไม่ทำอะไรมันจึงจำเป็นต้องเริ่มก่อนเสียเอง

พลังปราณโคจรไปทั่วร่างเพื่อกระเตรียมกระตุ้นวิชายุทธ์ แสงสีเขียวเรืองรองวาบผ่านบ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญในระดับสูง อีกฝ่ายเลิกคิ้วมองอย่างสนใจพร้อมกับตั้งท่าเตรียมรับมือ ส่วนจางหมิงก็ได้เปิดใช้วิชายุทธ์แล้วเช่นกัน

‘ทะยานข้ามภพ’

วิชาระดับปรมาจารย์สำแดงฤทธิ์ จางหมิงพุ่งทะยานหนีทันทีเมื่อเห็นว่าได้โอกาส พลังทั้งหมดถูกใช้ไปอย่างไม่เสียดายเพื่อให้ตนเคลื่อนที่ไปในความเร็วสูง แม้กระทั้งอาณาจักรจันทราก็ยังถูกเปิดออกด้วยเช่นกัน นั่นนับเป็นความเร็วที่น่าตื่นตะลึงอย่างมากสำหรับผู้มอง

...แต่ก็หาได้มากมายสำหรับผู้ฝึกตนในขั้นมนุษย์

“ช่างเป็นเด็กที่ไม่รู้จักรักตัวกลัวตายจริงๆ” ในที่สุดผู้ที่เงียบอยู่นานก็พูดออกมา

ผู้เฝ้าประตูทะยานร่างตามไป มันมองแผ่นหลังที่เห็นอยู่ลิบๆอย่างไม่ให้คลาดสายตา แต่ด้วยพลังยุทธ์ขั้นชำนาญที่ใช้โดยขั้นมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องยากที่จะตามให้ทัน

จางหมิงเหลือบสายตาไปมองด้านหลังเป็นพักๆ ในหัวกำลังคาดการณ์ถึงวิธีการหลบหนีอีกฝ่ายเพราะมันแน่ใจแล้วว่าหากให้ประมือกันจริงๆคงต้านรับได้ไม่กี่วินาที แต่สิ่งที่มันมั่นใจแล้วมีเหนือล้ำคือความคิดพลิกแพลง มันไม่ได้ฉลาดกว่าผู้อื่นผู้ใด แต่มันเพียงมั่นใจความมากเล่ห์ของตัวเองก็เท่านั้น เพราะถ้าหากเป็นโจรไม่รู้จักกลับกลอกเสียบ้าง นั่นนับว่าเสียชาติเกิดจริงๆ

สิ่งที่มันมีคือวิชาที่ผู้คนไม่รู้จัก กายาซ่อนเร้นที่ถูกใช้โดยอาณาจักรจันทราช่างเหนือล้ำสุดหยั่ง จางหมิงเคลื่อนกายหลบเข้ามุมมืดด้านหนึ่งก่อนจะพลางกายหายไปแล้วใช้ท่าเท้าพิสดารหนึ่งในคัมภีร์มหาโจรที่เพิ่งฝึกได้ไม่นานเพื่อสลับตำแหน่ง และไม่ลืมที่จะเคลื่อนร่างต่อไปในทิศทางตรงกันข้าม

ผู้เฝ้าประตูขมวดคิ้วก่อนจะหยุดฝีเท้าลง จู่ๆจุดพลังของอีกฝ่ายก็หายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ มันสำรวจบริเวณนั้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่พบเจอสิ่งใดผิดปกติ แต่ไม่กี่ช่วงลมหายใจต่อมาก็รู้สึกได้ถึงอีกฝ่ายที่อยู่ไกลลิบ

ในส่วนของจางหมิงที่อยู่ห่างออกมา นี่ไม่นับว่าปลอดภัยเท่าไหร่นัก การใช้กายาซ่อนเร้นติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้สิ้นเปลืองพลังมากเกินไป เมื่อใช้พลังหมดมันจะถูกจับได้ในทันทีเพราะไร้พลังที่จะใช้หนี เช่นนั้นจางหมิงจึงใช้วิธีการเปิดๆปิดๆวิชายุทธ์นี้เพื่อให้อีกฝ่ายปั่นป่วนแล้วส่งตัวเองหนีให้ไกลขึ้น แต่ยิ่งมายิ่งใช้ลำบากขึ้นทุกที

พระอาทิตย์แทบจะโผล่พ้นขอบฟ้าด้านหนึ่ง เงามืดที่ใช้หลบเร้นก็ยิ่งน้อยลงตามไป ผนึกที่ตราไว้ยังผู้เฝ้าอีกคนก็ใกล้จะคลายลงเต็มที หรือมันต้องปะทะกับผู้คนในระดับมนุษย์จริงๆ

“หากข้าไปถึงป่าทึบด้านล่างได้นั่นถึงจะรอดไปได้มากกว่าครึ่ง” จางหมิงพึมพำกับตัวเอง

ป่าทึบที่ว่าคือรอยต่อระหว่าตำหนักแต่ละแห่ง ที่มันมุ่งหน้าไปคือรอยต่อทางด้านใต้และตะวันตกที่คุ้นเคยเนื่องจากออกไปล่ากับจิ้งจอกน้อยอยู่บ่อยครั้ง มันรู้แต่แรกว่าจิ้งจอกน้อยอยู่ห่างออกไปอีกฝั่งหนึ่งจากสายสัมพันธ์ของพันธะระหว่างกัน และนั่นก็ไกลพอที่จะพ้นระยะตรวจจับของผู้มีระดับมนุษย์แล้วมันก็วางใจ แต่ตอนนี้มันต้องเอาตัวเองให้รอดไปจากตรงนี้เสียก่อน ไม่เช่นนั้นแม้ว่าทางจิ้งจอกน้อยจะหลบหนีไปได้แล้วจะมีประโยชน์อะไร

สี่นาทีกว่าๆสำหับการณ์ใช้อาณาจักรจันทราใกล้จะหมดลง ระยะห่างที่เว้นว่างจะว่ามากก็มากจะว่าน้อยก็น้อย นั่นไม่ใกล้เคียงกับที่จางหมิงคิดไว้ว่าจะหลุดพ้น อีกทั้งกลุ่มก้อนพลังที่ตามมานั้นยิ่งมายิ่งรุนแรง นั่นนับว่าแสดงออกถึงความหงุดหงิดที่โดนจางหมิงปั่นหัวให้วิ่งเต้นไปมาได้เป็นอย่างดี

ตอนนี้พวกมันเข้าสู้เขตรอยต่อของตำหนักแล้ว แสงจากรุ่งอรุณสาดส่องลงมายังบริเวณนี้ได้ไม่มาก พื้นดินใต้เท้าที่เหยียบย่ำยังคงชื้นแฉะจากน้ำค้างยามค่ำคืน สายลมอ่อนเบาโชยพัดผ่าน ใบไม้ปลิวไสวพร้อมกับแสงริบหรี่ของดวงตะวันที่ลอดผ่านเล็กน้อย  นี่อาจเป็นความสวยงามอย่างหนึ่งที่ป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์มอบให้ แต่ทั้งสองที่วิ่งไล่ตามกันไหนเลยจะสนใจ

อาณาจักรจันทราได้หมดลงแล้ว...

ความเร็วของจางหมิงลดลงไปกว่าครึ่ง กายาซ่อนเร้นยิ่งไม่กล้าใช้เนื่องจากมันผลาญพลังปราณเกินไป จุดพลังจากด้านหลังก็พุ่งทะยานเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

“เจ้าคิดว่าจะหนีจากข้าไปได้หรือ” น้ำเสียงติดขู่อาฆาตดังมาก่อนตัวพร้อมๆกับพลังสายหนึ่งที่พุ่งตรงมา

จางหมิงหยุดฝีเท้าลงแล้วกางเกราะปราณขึ้นต้านรับ เกราะปราณของมันสั่นไหว รอยร้าวแผ่กระจายไปทั่วแต่ยังไม่ได้แตกออก ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นตัวจางหมิงเองก็ยังคงบาดเจ็บ รสชาติเลือดไหลย้อนขึ้นในลำคอหากแต่มันก็สะกดกลั้นไว้แล้วกลืนมันลงไป ความหวาดกลัวและความอ่อนแอไม่ปรากฏในแววตา แม้ตนเองเสียเปรียบหากก็ไม่ย้อมพ่ายแพ้ลงตรงนี้เช่นเดียวกัน

“ถึงดูเหมือนมันจะยาก แต่นั่นเป็นสิ่งที่ข้าจะทำ” จางหมิงตอบกลับอีกฝ่ายไป

ผู้เฝ้าประตูแค่นยิ้มไม่กล่าวต่อ การโอภาปราศรัยในระหว่างการต่อสู้ไม่ใช่วิสัยของมัน อีกทั้งกฎของสำนักว่าไว้ หากผู้ทำผิดกฎไม่ขัดขืนการคุมตัวก็จะละเว้นในระดับหนึ่ง หากไม่ก็สามารถปลิดปลงได้เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อผู้อื่น

จางหมิงก็ยิ้มออกมาเช่นเดียวกัน รอยยิ้มที่ฉาบทาบนหน้านี้เพราะมันคิดย้อนไปถึงอดีต นานแล้วที่มันไม่ได้สู้อย่างจริงจัง กลุ่มโจรมักกลุ้มรุมคู่ต่อสู้เสมอนั่นก็กล่าวไม่ผิด แต่ก่อนขึ้นเป็นหัวหน้าโจรผู้สั่งการเล่า มันเคยปะทะกับผู้คนด้วยตนเองมาก็มากมาย นั่นก็หลายสิบปีแล้วเห็นจะได้

น่าคิดถึงอยู่เหมือนกัน...

เอาเป็นว่า... จะสู้ก็สู้สิ ระดับมนุษย์แล้วมันจะเป็นอย่างไร!

 

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด