ตอนที่แล้วตอนที่ 131 – มือสังหารในชุดดำ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 133 – ความใจดีอันเลอะเลือน

ตอนที่ 132 – คนธรรมดาผู้น่าสงสาร


ตอนที่ 132 – คนธรรมดาผู้น่าสงสาร

 

ถังเทียนฝืนกลั้นความหนาวเย็นภายในใจและหันไปถามมู่เหลย “มันเป็นผู้ใดกัน?”

“เขาคือฉีหยา!” มู่เหลยมีอาการหวาดกลัว ในน้ำเสียงของเขาเจือปนไปด้วยความกลัว “มือสังหารทมิฬที่มีชื่อเสียงที่สุดภายในดาวเฟยหลิน เล่ากันว่าเขามีเส้นชีพจรโลหิตแห่งความมืด เขาอยู่อันดับต้นในบรรดาเส้นชีพจรโลหิตขั้นเงิน วิชากระบี่ของเขายอดเยี่ยมและแทบจะไร้คู่มือ ผู้เชี่ยวชาญมากมายต่างตายตกด้วยน้ำมือเขา เขาเป็นบุคคลที่ทำเพื่อเงินเท่านั้นและเรียกร้องราคาที่สูง แต่ละคราที่เขาลงมือ มิว่ามันจะสำเร็จหรือล้มเหลว มันจะต้องมีค่าจ้างอย่างน้อยห้าแสนเหรียญดารา”

“ห้าแสนเหรียญดารา...” ถังเทียนตกใจกับจำนวนเงินนี้ แม้กระทั่งตอนที่เขาร่ำรวยก็มีไม่ถึงเท่านี้

มิว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว… ถังเทียนแทบอยากจะบอกว่ามันเป็นเรื่องตลก แต่เมื่อเขานึกถึงวิชากระบี่อันน่าทึ่งของฉีหยาก็ต้องกลืนน้ำลายทันที

ราวกับมองออกว่าถังเทียนคิดอะไรอยู่ มู่เหลยก็กล่าวขึ้น “รวมกับวันนี้แล้ว เขาแทบจะมิมีประวัติว่าล้มเหลวมาก่อน มันมีเพียงสองคราเท่านั้นและนี่คือครั้งที่สาม เจ้ามิจำเป็นต้องกังวล เขาจะไม่กลับมาอีก ยามเมื่อภารกิจล้มเหลว เขาจะไม่ย้อนกลับมาอีก”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถังเทียนก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก

มือสังหารในชุดดำสร้างแรงกดดันต่อเขามากนัก ความมืดมนและกลิ่นอายแห่งความตาย มันราวกับเขาถูกล้อมรอบไปด้วยความตาย

เจ้าหนุ่มผู้นั้นช่างน่ากลัวนัก

ถังเทียนที่กำลังขบคิดอยู่ มิได้สังเกตถึงสายตาของมู่เหลยที่มองไปยังท่าทางแปลกๆของถังเทียน การลอบโจมตีของฉีหยามันปราศจากร่องรอยใดๆทั้งสิ้น ถ้ามิใช่เพราะถังเทียน เขาคงมิมีวันสัมผัสถึงมันได้ แต่ถังเทียนยังสามารถหลบการโจมตีของฉีหยาได้อีกด้วย!

และมันยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เขาจะต้องอุ้มคุณหนูเอาไว้ด้วย...

แต่… เขาก็มิรู้จักอธิบายอย่างไรเช่นกัน มันอาจเป็นไปได้ที่ถังเทียนโชคดีหรือมันอาจเป็นไปได้ว่าเขามีการตอบสนองที่รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ถังเทียนก็มิได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถอย่างเช่นวิชาการต่อสู้

มู่เหลยพลันยิ้มอย่างขมขื่น มิใช่ว่าภาพลักษณ์เขาจบสิ้นแล้วหรือ? นี่เขาจะต้องมาคาดหวังกับผู้ที่เขามิรู้จักเลยงั้นหรือ? นอกจากนี้เขายังเป็นเพียงคนธรรมดา...

เจ้าผู้นี้ยังมิได้กระตุ้นเปิดเส้นชีพจรโลหิตของเขา มันก็ยากลำบากที่จะหาทางออกจากดาวเฟยหลินแห่งนี้ แม้ว่าเขาจะมาจากสมาคมนักสู้แห่งแสง มันก็ยากที่จะอยู่รอดบนดาวเฟยหลิน ณ ดินแดนแห่งเส้นชีพจรโลหิต

นักสู้จากสมาคมนักสู้แห่งแสงต่างมีร่างกายที่อ่อนแอ ภายในสายตามู่เหลยมันเป็นพวกใช้การไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีความรู้มากเรื่องการใช้สมบัติดารา ตราบเท่าที่พวกเขายังคงเป็นอยู่เช่นนี้ นักสู้ของสมาคมนักสู้แห่งแสงก็เป็นพวกร่างกายอ่อนแอและถูกกระชากออกเป็นชิ้นๆ

มู่เหลยรู้สึกดูแคลนอย่างจริงจัง

เส้นชีพจรโลหิตมันยอดเยี่ยมยิ่งและมันเป็นที่นิยมภายในดาวเฟยหลินแห่งนี้ มู่เหลยมิเห็นด้วยอย่างยิ่งที่เจ้าหนุ่มผู้ที่ยังมิได้เปิดเส้นชีพจรโลหิตมันจะมีประโยชน์อันใด

คนธรรมดามิมีวันประสบความสำเร็จอันใดได้

ความคิดนี้มู่เหลยมิได้กล่าวส่งเดช เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่นี้มันเป็นเรื่องตลก บุคคลที่ยังมิได้กระตุ้นเปิดเส้นชีพจรโลหินและมีปราณแท้จริงอยู่ที่ขั้นห้าเท่านั้น สำหรับถังเทียนเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ปกติแล้วพวกหนุ่มสาววัยเท่านี้มักจะกระตุ้นเปิดเส้นชีพจรโลหิตแล้ว ถึงแม้ว่าระดับขั้นของพวกเขาจะไม่สูงหรือไม่แข็งแกร่งก็ตาม

เอาเถิด เขาเป็งเพียงคนต่างแดน...

มู่เหลยเพียงทำได้แต่ปลอบใจตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ยามเมื่อเขามองไปยังสายตาของถังเทียนที่ดูสงบนิ่ง จากนั้นเขาก็มองไปยังคุณหนูที่หวาดกลัวหน้าซีดและตระหนกตกใจ กู่เสวี่ยกอดรั้งถังเทียนอย่างแน่น สีหน้าของนางซีดเผือด นัยน์ตาที่งดงามของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก

มู่เหลยกำหมัดแน่น เขาจะต้องพึ่งพากำลังของตัวเองเช่นกัน!

ฉีหยา… ข้าจะมิปล่อยเจ้าทำร้ายคุณหนูแน่!

“ไปกันเถอะ!” มู่เหลยเปลี่ยนความคิดของเขาในทันที “พวกเราจะเข้าเมืองในคืนนี้!”

เมื่อคนที่เหลือได้ยินก็รีบเก็บสัมภาระของพวกเขา

“ขออภัยคุณหนูด้วย ท่านอาจจะต้องลำบากขึ้นอีกสักพัก” มู่เหลยปลอบกู่เสวี่ย

กู่เสวี่ยอดกลั้นความกลัวภายในใจของนางพลางฝืนยิ้มและส่ายหัวกล่าว “ข้ามิเป็นไร”

เขาเหลือบมองไปยังถังเทียนดูคุณหนูคว้าแน่นจนนิ้วของนางซีดขาว จากนั้นก็ถอนสายตากลับมาพลางกล่าวกับถังเทียน “ลำบากน้องถังที่ต้องดูแลคุณหนูแล้ว ข้าขอบคุณยิ่ง!”

ทุกคนต่างเปลี่ยนท่าทางที่มีต่อถังเทียน ถ้ามิใช่เพราะถังเทียนก่อนหน้านี้ คุณหนูอาจจะโดนลักพาตัวไปแล้วก็ได้ และสิ่งนี้มันก็พิสูจน์แล้วว่าถังเทียนเป็นมิตรมิใช่ศัตรู

ถังเทียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ไม่เป็นอะไรหรอก!”

ถังเทียนมองไปยังทิศทางที่ฉีหยาหายตัวไป ความกลัวในใจของเขาเจือจางไปและแทนที่ด้วยแรงใจที่ต้องการต่อสู้ มันรู้สึกแตกต่างจากการประลองกับพวกผู้เชี่ยวชาญนัก!

ภายในใจของเขาได้ตัดสินใจเพื่อที่จะประลองกับฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะรู้ว่าพลังของเขามันยังมิเพียงพอที่จะเป็นคู่มือของฉีหยา แต่การตัดสินใจนี้มันก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ถังเทียนถอนหายใจยาว นัยน์ตาของบุรุษหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง

ถังเทียน เจ้าต้องสู้ๆ!

ถังเทียน เจ้าต้องแข็งแกร่งขึ้น!

ถังเทียน เจ้าต้องเอาชนะฉีหยา!

ภายในดวงตาที่สงบนิ่งมันก็ท่วมท้นไปด้วยความุ่งมั่น

ราวกับหลังของเขาไช่ด้วยหนอนมันคับอกคับใจนัก ถังเทียนอดมิได้ที่จะต้องครุ่นคิด ถ้าเขาต้องเผชิญหน้ากับฉีหยาครั้งหน้า วิธีการเช่นใดกันที่เขาจะต้องใช้รับมือกับมือสังหารชุดดำผู้น่ากลัว?

“เจ้าคงตกใจสินะ” อาปี่ลี่มองไปยังถังเทียนที่ถอนหายใจ และคิดว่าเขาเพิ่งฟื้นคืนสติกลับมา เขาก็ปลอบใจ “เจ้าก็ไม่เลวเลย สามารถรอดตายจากฉีหยาได้ เขาเป็นถึงฉีหยาเลยนะ มือสังหารทมิฬผู้มีชื่อเสียงที่สุดบนดาวเฟยหลิน เจ้ามิรู้หรอกว่ายามเมื่อข้าเห็นเขา ข้าก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว เจ้ารู้หรือไม่สิ่งใดที่เข้ามาภายในใจยามเมื่อข้าคืนสติได้? ไอหย๋า สวรรค์ พวกเรารอดตายแล้ว! ขอบคุณสวรรค์ พวกเรามิต้องพบกับเขาอีกคราแล้ว”

“หุบปาก! อาปี่ลี่!” มู่เหลยตวาดจากด้านหลังบุรุษทั้งสอง เห็นได้ชัดว่าเขามิพอใจท่าทางของอาปี่ลี่

อาปี่ลี่ก็หยุดพูดทันที

ถังเทียนยกยิ้ม เขามิได้เปิดเผยถึงความคิดเขา เขามิต้องการที่จะถูกเยาะเย้ย แต่เขาจะมิมีวันเปิดเผยความทะเยอทะยานและความคับแค้นต่อทุกคน

แม้ว่าอาปี่ลี่จะพูดเยาะเย้ย เขาก็มิได้เป็นคนเลวร้าย กู่เสวี่ยยังคงหัวร่อกับสีหน้าที่ดูตลกของอาปี่ลี่

ใบหน้าที่งดงามของกู่เสวี่ยที่หวาดกลัวแทนที่ด้วยรอยยิ้มในทันที อาปี่ลี่ถึงกับตกตะลึง นางช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นมา

ถังเทียนก็ตะลึงเล็กน้อยเช่นกัน แต่ความสนใจของเขาก็ถูกดึงดูดโดยสิ่งอื่นในทันที

หยาหยา!

ตั้งแต่ที่หยาหยาได้ดูดกลืนแก่นจิตวิญญาณของอสรพิษจิตวิญญาณดารา มันก็อยู่ในสภาพที่หลับลึก แต่ในตอนนี้ หยาหยาพลันตื่นขึ้นมาและโผล่ออกมาจากคลังศาสตราวุธคนโท กระโจนออกมาและกระโดดขึ้นไปบนไหล่ของถังเทียน

ใบหน้าเล็กๆของมันดูงัวเงีย มือเล็กของมันขยี้ตาจนใบหน้าบิดเบี้ยวมองมิเห็นดวงตา

“ว้าว น่ารักจัง!” กู่เสวี่ยถูกใจหยาหยาในทันที

หยาหยาที่งัวเงียก็ตกใจเสียงอุทานของกู่เสวี่ย จากนั้นก็ตะโกนร้องพลางกระโดดจากไหล่ของถังเทียนขึ้นไปบนหัว

มือหนึ่งคว้าไปที่ผมของถังเทียนและอีกมือหนึ่งก็อยู่บนธนูของมัน มันก็คลานลงราวกับอยู่ภายในสนามรบและจ้องมองไปยังกู่เสวี่ย

ดวงตาของกู่เสวี่ยสว่างวาบ ท่าทางของหยาหยามันดูตลกอย่างยิ่ง ยามเมื่อมันนอนคลานลงก้นของมันก็โด่งขึ้นและส่ายไปมาขณะที่จ้องไปยังกู่เสวี่ย

หยาหยามิตอบรับความเป็นมิตรของกู่เสวี่ย นัยน์คู่เล็กของมันจ้องมองไปยังนางราวกับถั่วเขียวที่บวมพองขณะพยายามข่มขู่กู่เสวี่ย

ปึด

ถังเทียนมีอาการเจ็บ เนื่องจากผมที่ถูกดึงโดยหยาหยามันเจ็บอย่างยิ่ง! เจ้าบัดซบตัวนี้!

เขาก็จับตัวหยาหยาออกมาด้วยท่าทางรังเกียจและแอบบีบมันเป็นการแก้แค้นสิ่งที่มันทำกับเขา หยาหยาผู้น่าสงสารถูกบีบราวกับก้อนดินเหนียว มันได้ถูกล่วงเกินอย่างรุนแรงแล้ว มันก็ชะงัก เนื่องจากมิได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ประสบอยู่ในตอนนี้

นี่ นี่ นี่… มันเพิ่งจะตื่นรู้งั้นหรือ?

“ไอหย๋า ตัวอ่อนจิตวิญญาณขุนพล” มู่เหลยรอบรู้นัก ยามเมื่อเขาเห็นหยาหยาก็จดจำได้ในทันที

“ตัวอ่อนจิตวิญญาณขุนพล? มันดุร้ายหรือไม่?” นัยน์ตากู่เสวี่ยสว่างวาบ นางมักจะหลงใหลสิ่งที่น่ารัก นางมิเคยพบเห็นจิตวิญญาณขุนพลที่น่ารักเช่นนี้มาก่อน

“เป็นจิตวิญญาณขุนพลระดับต่ำขอรับ” มู่เหลยเหลือบมองไปยังถังเทียนพลางกล่าวอย่างสุภาพ “ตามจริงมันเป็นเพียงจิตวิญญาณขุนพลที่มิสมบูรณ์และปราดเปรียวอย่างยิ่ง”

เป็นที่แน่นอนแล้ว... เจ้าเด็กหนุ่มต่างแดนผู้นี้มิมีค่าพอที่จะคาดหวัง

ยามเมื่อมู่เหลยเห็นหยาหยา เขาก็มิได้คาดหวังกับถังเทียนอีกต่อไป ตัวอ่อนจิตวิญญาณขุนพลมันเป็นเพียงจิตวิญญาณขุนพลระดับต่ำ มันไร้ค่าอย่างสิ้นเชิง ถังเทียนกลับเลี้ยงดูจิตวิญญาณขุนพลระดับเช่นนี้… แม้ว่าตัวอ่อนจิตวิญญาณขุนพลจะมิถูกจำกัดเวลาที่เรียกออกมาได้ดั่งเช่นจิตวิญญาณขุนพลที่ออกมาจากยันต์จิตวิญญาณ แต่ความสามารถต่อสู้ของพวกมันก็เป็นศูนย์ มิมีผู้ใดที่เลือกเอาตัวอ่อนจิตวิญญาณขุนพลมาเป็นผู้ช่วย

แต่เมื่อถังเทียนเป็นคนช่วยเหลือคุณหนูแล้วล่ะก็เขาก็จำต้องพูดดีด้วย

คนที่เหลือก็ต่างมีท่าทางที่แปลกประหลาดเช่นกัน

จิตวิญญาณขุนพลที่แข็งแกร่งถือเป็นผู้ช่วยที่โดดเด่น แน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องพลัง ยิ่งจิตวิญญาณขุนพลแข็งแกร่งเพียงใดก็ยิ่งดี มันคือความจริง แต่ในทางตรงกันข้ามหากมีจิตวิญญาณขุนพลอ่อนแอ ก็หมายความว่าฝ่ายตรงข้ามอ่อนแอด้วยเช่นกัน การคาดเดาเช่นนี้ถือว่ามีความชัดเจนมากที่สุด

ช่างเป็นคนธรรมดาที่น่าสงสารนัก

อาปี่ลี่พ่นลม “ถังเทียนนี่มันเป็นจิตวิญญาณขุนพลที่แปลกประหลาดที่สุดที่ข้าเคยพบเห็นมาเลย”

“อย่างงั้นหรือ?” ถังเทียนมิรู้เลยว่าอาปี่ลี่นั้นเยาะเย้ย เขาพลางกล่าวอย่างเฉยชา “แม้ว่าหยาหยามันจะไม่แข็งแกร่งแต่มันก็ฉลาดอย่างยิ่ง”

เขายังคงบีบมันอยู่ขณะที่พูด

หยาหยาผู้น่าสงสารเป็นอีกคราที่มันถูกล่วงเกิน มันก็เหลือบมองไป เจ้าก็มิได้กล่าวชมข้าสินะ...

“มันชื่อว่าหยาหยางั้นหรือ?” กู่เสวี่ยมิได้สนใจว่าหยาหยาจะแข็งแกร่งหรือไม่ ภายในสายตานาง หยาหยาน่าหลงใหลเกินไป นางยื่นมือออกไปพลางกล่าวถามอย่างคาดหวัง “ข้าขออุ้มมันได้หรือไม่?”

ถังเทียนวางหยาหยาไปบนมือกู่เสวี่ยอย่างไม่เต็มใจนัก “ระวังด้วย มันค่อนข้างเกเรเล็กน้อย”

‘ข้ามิได้เกเรเสียหน่อย…’

หยาหยาผู้ที่หนีรอดจากเงื้อมมือมาร ก็กระโดดขึ้นไปกอดนิ้วของกู่เสวี่ยแน่นราวกับโคอาลาพลางลูบๆคลำๆ

กู่เสวี่ยตื่นเต้นพลางยกหยาหยาขึ้นมาอย่างระวัง

ถังเทียนเหลือบมองไปยังหยาหยา ช่างเป็นตัวบัดซบที่ไม่มีความซื่อสัตย์  ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง กล้าที่มาดึงผมข้า เจ้าได้ตายแน่!

หยาหยาก็บุ้ยปากและกอดนิ้วของกู่เสวี่ยแน่นกว่าเดิม

“ดูนั่น! ถึงเมืองภูเขาทมิฬแล้ว!”

ทันใดนั้น อาปี่ลี่ก็ตะโกนขึ้นขัดถังเทียน

ถังเทียนและคนอื่นต่างผ่านภูเขามาครึ่งทางแล้ว ภายใต้เท้าพวกเขาเป็นถนนที่โค้งลาดลงไป เพียงพวกเขามองลงไปไม่ไกลจากเท้าของพวกเขาก็จะเห็นเมืองที่สว่างไสวเหมือนกับอสูรที่นอนนิ่งอยู่ภายในความมืด

***********************************************************

ติ ชม รับข่าวสารได้ที่ แฟนเพจ ได้เลย และกดไลค์เพื่อเป็นกำลังใจด้วยครับ

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด