ตอนที่แล้วAST บทที่ 166 - ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้พิทักษ์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปAST บทที่ 168 - ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้น จึงมีสิทธิ์ที่จะหยิ่งยโส

AST บทที่ 167 - ถูกท้าประลองโดยผู้ฝึกตนโฮ่วเทียน


ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

บทที่ 167 - ถูกท้าประลองโดยผู้ฝึกตนโฮ่วเทียน

"ท่านอาจารย์ เหมือนท่านจะสัญญาไว้ว่าถ้าหากวันใดข้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของนิกายกระบี่นภา ท่านจะเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไว้ให้ข้า? ทำไมข้าถึงยังไม่ได้รับมันเสียที หรือว่าที่ท่านบอกจะเป็นสิ่งเหล่านี้"ชิงสุ่ยมองดูเสื้อคลุมสีม่วง กระบี่เงิน และขวดยาพลังพยัคฆ์

"เจ้าเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของข้า ดังนั้นข้าจะลืมได้อย่างไร แล้วข้าจะเก็บไว้ยกมันให้กับใครได้อีกถ้าไม่ใช่เจ้า"อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวพร้อมกับเสียงหัวเราะ

เนื่องจากเธอมองเห็นว่าอูซวงมารออยู่นานแล้ว อีเย่เจี้ยนเก้อจึงมองกลับมาที่ชิงสุ่ย "วันนี้เจ้าควรพักผ่อนอยู่ที่หุบเขากระบี่นภา เจ้าอย่าลืมเตรียมพร้อมรับมือกับคนที่มาท้าทายพวกเจ้าทั้งสองคน เดี๋ยวข้าจะกลับมาอีกทีนึงตอนพลบค่ำ"

"อืม เข้าใจล่ะ ท่านอาจารย์ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับตัวข้า"ชิงสุ่ยยิ้มแล้วมองดูอีเย้เจี้ยนเก้อจากไปพร้อมกับนกกระเรียนหิมะขาว ความงามอันบริสุทธิ์ที่พร้อมสร้างสงครามเพื่อแก่งแย้งจนนำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักรยังคงครอบงำจิตใจ อีเย้เจี้ยนเก้อที่อยู่บนนกกระเรียนหิมะขาวและหญิงสาวโฉมงามที่อยู่บนหลังของแร้งอัสนีปีดทองคำ ช่างมีความงดงามที่คล้ายคลึงกันยิ่งนัก

"ชิงสุ่ย เจ้ากำลังฝันกลางวันอยู่อีกสินะ!!!"

"กระแอ่มๆ"

ในขณะนี้ ไป๋ลีอู๋เฟิงก็เดินอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสมาทางเขา "ขอแสดงความยินดีด้วยที่เจ้าได้กลายเป็นผู้พิทักษ์ ข้ามาที่นี่เพื่อขอบคุณเจ้าจากใจจริงที่เจ้าช่วยรักษาท่านปู่ของข้า"

"ข้ารักษาท่านปู่ของเจ้าด้วยความเต็มใจ เช่นเดียวกับที่เขาเคยกล่าวไว้ว่า โชคชะตานำพาให้เรามาเจอกัน ข้าได้รับการช่วยเหลือจากท่านปู่เจ้า ข้าเองก็ย่อมต้องตอบแทน และสานสัมพันธ์จิตไมตรีเป็นสิ่งของที่ล้ำค่าสำหรับตัวข้า" ชิงสุ่ยกล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ

"ตอนนี้เจ้าเห็นอะไรหรือไม่? กลุ่มคนมากมายกำลังรอที่จะประลองกับเจ้าอยู่ พวกเขาล้วนตัดสินใจตั้งแต่ตอนที่ได้ยินว่าท่านปรมาจารย์เจี้ยนเก้อยอมรับเจ้าเป็นศิษย์ของนาง"ไป๋ลี่อู๋เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กๆ

แม้ว่าไป๋ลี่อู๋เฟิงจะเป็นหลานชายของไป๋ลี่จิงเว่ย เขาเองก็ยังใฝ่ฝันอยากเป็นลูกศิษย์ของอีเย่เจี้ยนเก้อ หรือแม้กระทั่งเป็นลูกศิษย์ของไป๋ลี่จิงเว่ย เขาเองก็ต้องการคนที่ดูแลและคอยสั่งสอน เพราะการที่เขาไร้ซึ่งบุพการีมันทำให้เขาอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัดใจอย่างยิ่ง

"เจ้าสนิทสนมกับพวกเขาหรือไม่?"ชิงสุ่ยมองไปยังไป๋ลี่อู๋เฟิงด้วยความสงสัย

"ข้าไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีหรือเลวร้ายกับพวกเขา แต่บางคนที่อยู่ในนั้นมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับตัวแทนของผู้อาวุโส และพวกเขาเองก็ไม่ชอบที่อยู่ๆใครก็ไม่รู้มารับตำแหน่งผู้พิทักษ์ตัดหน้าพวกเขา"

และตอนนี้ รุ่นเยาว์กว่า 10 คนเดินวนไปมา ทุกคนต่างสวมเสื้อสีแดงเฉกเช่นเดียวกับไป๋ลี่อู๋เฟิง ซึ่งมันก็บ่งบอกได้เลยว่า ทุกคนเป็นคนที่มีโอกาสที่จะก้าวขึ้นสู่ระดับผู้พิทักษ์หรืออาจจะก้าวขึ้นสู่ระดับผู้อาวุโส

"บุคคลผู้นี้จะต้องเป็นน้องชายชิงสุ่ยอย่างแน่นอน ยินดีต้อนรับ!! พวกเราบางส่วนแค่เพียงต้องการแลกเปลี่ยนคำแนะนำกับเจ้าและหญิงสาวที่งดงามคนนี้ เจ้าคิดว่าอย่างไร?" คนที่พูดเป็นคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลาพร้อมทั้งดวงตาที่มีเสน่ห์ แต่ช่างน่าเสียดายที่ชิงสุ่ยรู้สึกไม่ชอบในดวงตาที่ดูอ่อนแอของคนๆนี้

การแลกเปลี่ยนคำแนะนำเป็นคำพูดที่ดูชาญฉลาดและบ่งบอกความตั้งใจอย่างชัดเจน ในทางหนึ่งมันหมายถึงการฝึกซ้อม แต่ถ้าหากจะตีความให้เด่นชัดนั่นก็หมายความว่ามันเป็นข้ออ้างที่ไว้สำหรับสาวกที่อ่อนแอกว่าแต่อยากจะท้าทายผู้ที่เขาคิดว่าไม่คู่ควรที่จะแข็งแกร่งกว่าเขา

ผู้คนจำนวนหนึ่งจ้องมองชิงสุ่ยและอูซวง แต่ส่วนใหญ่จะต้องมองไปยังใบหน้าของอูซวง ซึ่งชิงสุ่ยรับรู้ได้ห้องมันเป็นสายตาที่น่ารังเกียจที่เขาคุ้นเคย

"ชายคนนี้คืออันดับ 1 ของเหล่าคนที่สวมเสื้อสีแดง เขาเป็นคนที่มีทักษะฝึกวิชาที่ยอดเยี่ยมแม้ว่าเขาจะยังไม่บรรลุระดับเทวะเซียนเทียน"ไป๋ลี่อู๋เฟิงแสดงความคิดเห็นอย่างเฉยเมย

ชิงสุ่ยรู้ว่านี่เป็นคำเตือนสำหรับเขาให้รู้ว่าผู้ที่อยู่จุดสูงสุดระดับโฮ่วเทียนอาจมีเคล็ดวิชาที่แปลกประหลาดโดนสามารถทำลายผู้ฝึกตนเทวะเซียนเทียนได้

"พวกเราจะไปรออยู่ที่สนามประลองด้านหลัง"ขิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้ม ขณะที่เขาเดินไปข้างหลังของห้องโถงกลางขนาดใหญ่

มีกลุ่มคนจำนวนมากอยู่บริเวณรอบรอบตัวของพวกเขา รวมทั้งยังมีเหล่าผู้พิทักษ์จำนวนหนึ่งที่ยืนดูเหตุการณ์เหล่านี้อยู่ด้วย ทุกคนกำลังเฝ้าดูความขบขันอย่างมีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายหนุ่มเสื้อคลุมม่วงที่ดูเหมือนจะชอบใจซึ่งไม่มีใครสามารถอ่านใจเขาได้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่

"ไปกันเถอะ อูซวง พวกเราจะไปตีสุนัขเหล่านี้ก่อนที่มันจะคิดหยิ่งผยองว่าตัวเองเป็นสิงโต!!"ชิงสุ่ยยิ้มมุมปากขณะที่มองไปทางอูซวง

"พี่ชายอู๋เฟิง ไปดูการแสดงชุดนี้กันเถอะ"ชิงสุ่ยกล่าวกับไป๋ลี่อู๋เฟิงพร้อมทั้งหัวเราะออกมา

"แน่นอนอยู่แล้ว!!!"ไป๋ลี่อู๋เฟิง เผยรอยยิ้มอันล้ำค่าออกมา

เมื่อชิงสุ่ยมาถึงสนามประลอง ชายหนุ่มที่ชื่อว่าจินซูก็ถือกระบี่ยืนรออยู่ตรงกลางเวที ดวงตาของเขายังคงปิดลงและเอียงศีรษะเล็กน้อย เขาเป็นคนที่ดูสุภาพกับทุกคนยกเว้นต่อชิงสุ่ย ในสายตาของชิงสุ่ย จินซูเป็นคนที่ดูหยิ่งยโส โอหัง โอ้อวด ขี้เก๊ก และเป็นคนโง่เขลา

เหล่าสาวกนิกายหญิงมากมายจับจ้องอยู่เบื้องล่างของเวที คนที่ใส่เสื้อคลุมสีเหลืองกำลังมองดูพวกเขาด้วยความหลงใหล

ยังคงมีผู้คนที่ยังชื่นชมเหล่าผู้คนที่อยู่ในสถานะผู้พิทักษ์ และยังคงมีเหล่าผู้คนที่จ้องมองด้วยความรังเกียจ อาจเป็นเพราะพวกเขาอิจฉาที่คนเหล่านั้นมีทักษะเคล็ดวิชาขั้นที่สูงกว่า

ชิงสุ่ยหยิบกระบี่เงินครามขึ้นมา และค่อยๆก้าวช้าขึ้นสู่เวทีประลอง ในเวลาเดียวกัน จินซูก็ค่อยๆเงยศีรษะขึ้น และเริ่มเปิดตาที่เต็มไปด้วยความก้าวร้าวและความตั้งใจที่จะต่อสู้

เขาอ้างว่าตัวเองนั้นเป็นนักสู้อันดับหนึ่ง  แม้แต่ผู้ฝึกตนเทวะเซียนเทียนแรกเริ่มยังต้องยอมจำนนต่อเคล็ดวิชาที่แปลกประหลาดของเขา เขาเป็นคนที่ฝึกฝนอย่างหนักเพื่อหวังก้าวขึ้นมาเป็นผู้ฝึกตนเทวะเซียนเทียน แต่เมื่อได้ยินข่าวของชิงสุ่ยที่ก้าวขึ้นมาเป็นระดับผู้พิทักษ์ มันยิ่งทำให้หัวใจของเขาร้อนรุ่มจนถึงขีดสุด

ทุกคนบนโลกนี้ไม่ได้โชคดีที่จะสามารถบรรลุระดับเทวะเซียนเทียนได้โดยง่าย เขาเชื่อมั่นว่าการรับรู้และพละกำลังของเขานั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าชิงสุ่ย เพียงแต่เขาไม่สามารถรู้แจ้งหรือทะลวงผ่านจุดติดขัดไปได้ ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้รีบเร่งนักเพราะเขาหวังเพียงว่าจะได้เข้าถึงประโยชน์สูงสุดในการบรรลุระดับเทวะเซียนเทียน

มักง่ายได้ยาก ลำบากได้ดี อย่างไรก็ตาม เขาเองกลับรู้สึกไม่ภาคภูมิใจนัก เขารู้สึกอิจฉาที่ชิงสุ่ยบรรลุระดับเทวะเซียนเทียนทั้งที่อายุน้อยกว่าเขา เขายิ่งคาดหวังกับชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ เพื่อเป็นของขวัญในการปลอบใจสำหรับความทะเยอทะยานของเขา

ชิงสุ่ยยังคงยืนนิ่งและถือกระบี่เอาไว้

"น้องชายชิงสุ่ย ข้าคงไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ รบกวนชี้แนะด้วย" เลือดลมในร่างกายของจินซูเริ่มสูบฉีด เขาจะเคลื่อนไหวเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

"เริ่มกันเถอะ"ชิงสุ่ยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ตัวเขาเองไม่ได้สนใจที่จะฝึกซ้อมกับมือสมัครเล่น ยิ่งการต่อสู้จบเร็วยิ่งขึ้น เขาจะได้ออกไปจากที่นี่สักที

จินซูเดินตรงไปข้างหน้าแล้วยกกระบี่มรกตขึ้นมา หลังจากที่เขาคำนับแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน เขาก็พุ่งตัวกระโดดไปทางด้านขวาของชิงสุ่ย ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปถ้าหากถึงกระบี่ด้วยมือขวาผู้คนส่วนใหญ่จะมีปัญหาในการป้องกันทางด้านขวาของตัวเอง

จินซูรู้สึกภาคภูมิใจกับความเร็วและความแข็งแกร่งของตัวเอง แต่ช่างน่าเสียดาย ที่ฝ่ายคู่ต่อสู้ของเขานั้นคือชิงสุ่ย

ชิงสุ่ยยังคงยืนรอแม้กระทั่งกระบี่ของเขาก็ยังคงเก็บอยู่ในฝัก เมื่อฝ่ายตรงข้ามพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและเข้าสู่เขตอันตราย ชิงสุ่ยตวัดกระบี่ของเขากระแทกข้อมือของจินซูราวกับว่าทุกอย่างหยุดนิ่ง

แคร๊กกกกกกกก!!!!

 

 

***********ค้างละสิ วันนี้แค่นี้ล่ะกัน 55555************

 

0 0 โหวต
Article Rating
13 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด