ตอนที่แล้วเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 4 ฟางหยวนแห่งแสงจันทร์บรรพกาล (อ่านฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 6 มุ่งสู่อนาคตที่สดใส (อ่านฟรี)

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 5 วิญญาณแห่งความหวัง (อ่านฟรี)


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 5 วิญญาณแห่งความหวัง 

แปลโดย iPAT 

ความเงียบงันเข้าครอบงำสถานที่แห่งนี้เอาไว้ทั้งหมด ขณะที่ดวงตาทุกคู่จ้องมาที่เขา

ฟางหยวนลอบหัวเราะอยู่ภายใน ภายใต้การจ้องมองของทุกคน เขาเดินข้ามลำธารไปยังฝั่งตรงข้ามและรู้สึกถึงแรงกดดันทันทีเมื่อบรรลุถึงทุ่งดอกไม้ มันเป็นแรงกดดันที่เกิดจากพลังงานสวรรค์พิภพที่แผ่พุ่งออกมาจากส่วนลึกของทุ่งกล้วยไม้จันทรา

จุดแสงสีขาวนวลค่อยๆบินเข้าสู่ร่างกายของเขา

ในความเป็นจริงนี่คือวิญญาณชนิดหนึ่ง แม้ผู้คุมการทดสอบจะไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่แน่นอนว่าฟางหยวนรู้จักจุดแสงเหล่านี้เป็นอย่างดี เพราะมันก็คือวิญญาณที่เรียกว่าวิญญาณแห่งความหวัง

มันเป็นหนึ่งในตำนานที่เก่าแก่ที่สุดของโลกใบนี้ ตำนานกล่าวว่าเมื่อครั้งที่โลกใบนี้ถือกำเนิดขึ้น มันเป็นเพียงดินแดนอันรกร้างที่ป่าเถื่อน ท่ามกลางเหล่าอสูรกาย มนุษย์คนแรกได้ถือกำเนิดขึ้น เขากินเนื้อดิบ ดื่มเลือดสด และมีชีวิตที่ยากลำบาก

ขณะเดียวกันก็มีอสูรกายที่ชื่นชอบรสชาติของเนื้อมนุษย์รวมอยู่ด้วย มนุษย์ไม่มีร่างกายที่แข็งแกร่ง ไม่มีเขี้ยวอันแหลมคม แล้วมนุษย์จะต่อสู้กับอสูรกายเหล่านั้นได้อย่างไร? เขาไม่มีแหล่งอาหารที่แน่นอน เขาซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ เขาถูกพิจารณาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นล่างสุดของห่วงโซ่อาหารและแทบไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้

ในเวลานั้นวิญญาณสามดวงบินมาหามนุษย์คนแรกและกล่าวกับเขาว่า “ตราบเท่าที่เจ้ามอบอายุขัยของเจ้าให้พวกเรา พวกเราจะช่วยให้เจ้าเอาชนะความยากลำบากทุกประการ”

มนุษย์คนแรกไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับข้อเสนอของวิญญาณเท่านั้น

ครั้งแรกเขามอบความเยาว์วัยให้กับวิญญาณที่ดูแข็งแกร่งและมันก็ตอบแทนเขาด้วยร่างกายที่แข็งแกร่ง

ด้วยความแข็งแกร่งนี้ ชีวิตของมนุษย์คนแรกจึงเปลี่ยนแปลงไป เขาเริ่มมีแหล่งอาหารที่มั่นคงและสามารถปกป้องตนเอง เขาต่อสู้อย่างห้าวหาญและดุดันกระทั่งสามารถเอาชนะอสูรกายเหล่านั้น แต่สุดท้ายเขาตระหนักได้ในที่สุดว่าความแข็งแกร่งของเขามิใช่ไร้ขีดจำกัด เขายังต้องใช้เวลากับการพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งของตน หากเขาต้องเผชิญหน้ากับฝูงอสูรกาย ความแข็งแกร่งอันน้อยนิดของเขาก็ยังไม่เพียงพอ

จากบทเรียนอันขมขื่นนี้ เขาจึงตัดสินใจมอบช่วงชีวิตวัยกลางคนให้กับวิญญาณดวงที่ปลดปล่อยแสงสีรุ้งอันสว่างไสวและงดงามออกมาเพื่อให้ได้รับสติปัญญามาครอบครอง

สติปัญญาทำให้มนุษย์สามารถเรียนรู้และคิดวิธีแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม เขาเริ่มสะสมประสบการณ์และตระหนักได้ในที่สุดว่าสติปัญญามีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้เพียงพละกำลัง โดยการพึ่งพาสติปัญญาและความแข็งแกร่ง เขาสามารถพิชิตเป้าหมายได้ทั้งหมด

แต่สุดท้ายเขาก็พบอีกว่าเขาแก่แล้ว เพราะเขาได้มอบวัยเยาว์และวัยกลางคนให้กับวิญญาณสองดวง ดังนั้นขณะนี้เขาจึงรู้สึกว่าความแข็งแกร่งและสติปัญญาของเขาเริ่มเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ

“มนุษย์ เจ้ายังสามารถมอบสิ่งใดให้พวกเราได้อีก? เจ้าไม่เหลือสิ่งใดอีกแล้ว” วิญญาณความแข็งแกร่งและวิญญาณสติปัญญาทิ้งเขาไปในที่สุด

ในที่สุดความแข็งแกร่งและสติปัญญาก็จากเขาไป เขาถูกค้นพบโดยอสูรกายอีกครั้ง แต่เขาแก่เกินกว่าที่จะหลบหนี กระทั่งฟันของเขายังหลุดร่วงไปจนทำให้เขาแทบไม่สามารถกินผักผลไม้ป่า เขานอนหมอบอยู่บนพื้นที่รายล้อมไปด้วยฝูงอสูรกายและสูญสิ้นความหวังทั้งหมด

เป็นเพียงเวลานี้ที่วิญญาณดวงที่สามกล่าวกับเขา “มนุษย์ เพียงมอบบางสิ่งให้ข้า แล้วข้าจะช่วยให้เจ้าหลบหนีไปจากที่นี่”

มนุษย์กล่าวพร้อมน้ำตาที่ไหลนอง “ข้ายังมีสิ่งใดให้เจ้าได้อีก ข้าไม่เหลือความแข็งแกร่งและสติปัญญาแล้ว ตอนนี้ข้าไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากความแก่ชรา เปรียบเทียบกับวัยเยาว์และวัยกลางคน วัยชราไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ แต่หากข้ามอบวัยชราให้เจ้า ชีวิตของข้าก็จะจบลงทันที ข้ายังต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไปแม้เพียงวินาทีเดียวก็ตาม ดังนั้นเจ้าควรไปเสีย ข้าไม่เหลือสิ่งใดที่สามารถมอบให้เจ้าอีกแล้ว”

อย่างไรก็ตามวิญญาณดวงที่สามยังกล่าวต่อ “ มนุษย์ ท่ามกลางวิญญาณทั้งสามดวง ข้าเป็นดวงที่มีความต้องการน้อยที่สุด เพียงมอบหัวใจของเจ้าให้ข้า นั่นก็เพียงพอแล้ว”

“เช่นนั้นข้าจะมอบหัวใจให้เจ้า” มนุษย์คนแรกกล่าว “แต่เจ้าจะมอบสิ่งใดให้ข้า เพราะกระทั่งความแข็งแกร่งและสติปัญญาจะย้อนกลับมา แต่พวกมันก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว พวกมันไม่สามารถช่วยให้ข้ารอดไปจากสถานการณ์นี้”

เปรียบเทียบกับวิญญาณความแข็งแกร่ง วิญญาณดวงนี้ดูอ่อนแอและเป็นเพียงดวงแสงดวงเล็กๆเท่านั้น หากเปรียบเทียบกับวิญญาณสติปัญญาที่ส่องแสงหลากหลายสีสัน วิญญาณดวงนี้กลับเป็นเพียงดวงแสงสีขาวนวลที่มิอาจกล่าวได้ว่างดงาม

แต่เพียงเมื่อมนุษย์มอบหัวใจให้กับมัน วิญญาณดวงนี้กลับระเบิดแสงอันเจิดจ้าออกมาจนทำให้ฝูงอสูรกายกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวและหลบหนีไปทันที

เมื่อเห็นฝูงอสูรกายวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต มนุษย์ถึงกับอ้าปากค้างและไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมาได้อีก หลังจากนั้นเป็นต้นมาเมื่อเขาเผชิญหน้ากับอสูรกาย เขาก็จะมอบหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ให้แก่วิญญาณดวงนี้ วิญญาณแห่งความหวัง!

ในขณะนี้วิญญาณแห่งความหวังกำลังบินเข้าสู่ร่างกายของฟางหยวนและเคลื่อนที่ไปรวมกันอยู่บริเวณท้องน้อยของเขา

ด้วยสิ่งนี้ มันทำให้ฟางหยวนรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาเริ่มก้าวเท้าออกไป ขณะเดียวกันวิญญาณแห่งความหวังก็ลอยเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามคิ้วของเหล่าผู้อาวุโสกลับขมวดแน่น

‘จำนวนวิญญาณแห่งความหวังปรากฏขึ้นน้อยกว่าที่คาดไว้’ ผู้อาวุโสทั้งหมดเฝ้าสังเกตุทุกการเคลื่อนไหวของฟางหยวนและเริ่มรู้สึกกังวลใจ กระทั่งผู้นำตระกูลยังยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความสงสัยเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่สัญญาณของพรสวรรค์นภาที่หนึ่ง

ฟางหยวนพยายามเดินหน้าต่อไป

ต่ำกว่าสิบก้าวถือว่าไร้พรสวรรค์ในการบ่มเพาะ

สิบเอ็ดถึงยี่สิบก้าวคือพรสวรรค์อยู่นภาที่สี่

ยี่สิบเอ็ดถึงสามสิบก้าวคือพรสวรรค์นภาที่สาม

สามสิบเอ็ดถึงสี่สิบก้าวคือพรสวรรค์นภาที่สอง

สี่สิบเอ็ดถึงห้าสิบก้าวคือพรสวรรค์นภาที่หนึ่ง

ขณะนี้ฟางหยวนเดินมาได้ยี่สิบสามก้าวและเขายังคงเดินหน้าต่อไป...

ยี่สิบสี่...ยี่สิบห้า...ยี่สิบหก...ยี่สิบเจ็ด...

ฟางหยวนนับจำนวนก้าวอยู่ภายในใจ เพียงเมื่อเขาเดินมาถึงก้าวที่ยี่สิบเจ็ด เขาก็ได้ยินเสียง “ปัง” ขึ้นในร่างกาย

เกิดการระเบิดขึ้นของจุดแสงที่บินเข้าไปรวมตัวกันอยู่ภายในร่างกายของเขา

การระเบิดนี้เป็นสิ่งที่มีเพียงตัวเขาเองเท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้ ฟางหยวนรู้สึกราวกับเกิดแผ่นดินไหวในช่วงเวลาสั้นๆ จิตใจของเขาว่างเปล่าไปชั่วขณะก่อนที่ร่างกายของเขาจะเริ่มรู้สึกเบาสบายราวกับล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ เป็นเพียงเวลานี้ที่หัวใจของเขาสามารถผ่อนคลายลงได้อีกครั้ง

ร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเม็ดเหงื่อ แม้มันจะดูเหมือนยาวนานแต่แท้จริงแล้วมันเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น

ฟางหยวนรู้สึกว่างเปล่าไปหนึ่งวินาทีก่อนที่ความรู้สึกนี้จะผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว เขาสงบจิตใจและตรวจสอบร่างกายทั้งหมดของเขาอย่างละเอียด ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็พบทะเลวิญญาณที่ก่อกำเนิดขึ้นจากความว่างเปล่าอยู่ภายในร่างกายของเขา

ปลุกทะเลวิญญาณสำเร็จ!

และมันก็คือความหวังแห่งชีวิตนิรันดร์!