ตอนที่แล้วตอนที่ 108 พบกันอีกครั้ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 110 มันเกิดอะไรขึ้น

ตอนที่ 109 หนทางสุดท้าย


“พรึบบ”

เพียงพริบตาร่างของหญิงชราชินเหม่ยหนิงก็ปรากฏข้างๆหลางเซียวฉิน สายตาของนางมองไปยังสัตว์อสูรสีทองลึกลับที่บินไปไกลแล้ว ก่อนจะตัดใจหันกลับมากล่าวบางอย่าง

“หลางเซียวฉินผู้ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่น ทำไมถึงสอดมือเข้าช่วยเด็กหนุ่มคนนั้นกัน”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า จะอย่างได้อีกในเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นจะบุตรเขยของตระกูลหลางของข้า” หลางเซียวฉินหัวเราะอย่างสบายใจและเดินจากไปด้วยท่าทางมีความสุข

“ฮึ! เจ้าเล่ห์ยิ่งนักนะ”

หญิงชราชินเหม่ยหนิงรู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่นัก นางเข้าใจว่าหลางเซียวฉินต้องการฮุบเอาตัวเด็กหนุ่มคนนั้นไว้ผู้เดียว เพื่อที่จะได้สอบถามเรื่องเคล็ดวิชาอันน่ากลัวอันนั้น

และบางทีเด็กหนุ่มคนนั้นอาจถ่ายทอดเคล็ดวิชาที่น่ากลัวอันนั้นให้ก็ได้ แล้วถ้าหากเป็นแบบนั้นละก็ นางก็มิอาจต่อกรกับชายชราหลางเซียวฉินได้แน่

“ไม่ได้การข้าต้องให้ชุนเอ๋อดึงตัวเด็กหนุ่มคนมาให้ได้” หลังจากเมื่อนางได้ตัดสินแล้ว ก็มุ่งหน้ากลับที่พักเพื่อเตรียมแผ่นการทั้งหมดโดยเร็ว และต้องสืบหาข้อมูลเกี่ยวเด็กหนุ่มคนนั้นมาให้หมด

ณ ที่พักตระกูลเยว่ เยว่ฉานรู้สึกเป็นห่วงท่านพี่หยางของนางมาก เนื่องจากประมุขนิกายเพลิงผลาญฉือเทียนก็ตามไปด้วยเหมือนกัน แต่เนื่องจากที่นางไม่ใช่ผู้ฝึกวรยุทธก็เลยทำให้บิดาของนางห้ามเอาไว้ เพราะกลัวจะได้รับอันตรายระหว่างการดวลกันของผู้ฝึกวรยุทธ

อย่างไรก็ตามบิดาของนางก็ได้ส่งผู้ฝึกวรยุทธระดับปราณผันผวนขั้นสูงตามไปค่อยคุ้มกันท่านพี่หยางของนางเช่นกัน จนกระทั่งตอนนี้ผู้ฝึกวรยุทธเหล่านั้นก็ยังไม่กลับมารายงานเลย นี่จึงทำให้นางวิตกกังวลพอสมควร

“แอ๊ดด”

ประตูห้องพักถูกเปิดออกมาอย่างแผ่วเบา พร้อมร่างชายวัยกลางสวมชุดสีดำไปทั่งตัว ที่ใบหน้าของเขาก็มีผ้าคลุมปกปิดอย่างมิดชิด แต่ก็เผยให้เห็นแววตาอันคมกริบ และเมื่อได้จ้องมองเข้าไปภายดวงตาจะรู้สึกราวกับถูกกระหน่ำแทงด้วงมีดนับพันก็มิปาน

ถูกต้องแล้วเขาก็คือบุรุษที่เกือบจะเข้าปะทะกับฉางหยางตอนก่อนจะเริ่มการแข่งล่าสมุนไพรนั้นเอง เขาได้นำกลุ่มผู้ฝึกวรยุทธบางส่วนไปขัดขวางเหล่าผู้อาวุโส และศิษย์นิกายเพลิงผลาญส่วนหนึ่งเอาไว้

เยว่เฉินเห็นท่านลุงที่คุ้นเคย เลยทำให้นางรีบเดินเข้าไปหาและกล่าวด้วยความร้อนรน

“เป็นอย่างไรบ้างท่านลุงเจียวหั่ว ท่านเจอท่านพี่หยางหรือไม่”

เจียวหั่วเห็นเยว่ฉานจับชายเสื้อของตนเขย่าไปมา และถามออกมาด้วยท่าทางเป็นห่วง เขาจึงรีบอธิบายออกไป

“คุณหนูเยว่ฉาน ข้าน้อยไม่เจอเด็กหนุ่มคนนั้นเลย แต่ก็ได้ยินข่าวมาว่าชายชราหลางเซียวฉินได้เข้าไปขัดขวางประมุขนิกายเพลิงผลาญฉือเทียนเอาไว้ และทั้งสองก็ได้เข้าปะทะกันอย่างรุนแรงจนเหล่าผู้ฝึกวรยุทธมิกล้าเข้าไปใกล้เลย”

“ทว่าข้าก็เห็นสัตว์อสูรสีทองลึกลับตัวนั้นบินหนีไปไกลแล้ว และที่บนหัวของมันก็น่าจะมีเด็กหนุ่มผู้เป็นนายของมันอยู่เพราะด้วยระยะทางที่ไกลเลยทำให้ข้ามองได้ไม่ชัด แต่ข้ามันใจว่าเด็กหนุ่มคนนั้นต้องนั่งอยู่บนหัวของสัตว์อสูรตัวนั้นอย่างแน่นอนคุณหนู”

หลังจากที่ได้รับฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว เยว่ฉุ่ยเหวินก็พยักหน้าให้เจียวหั่วออกไปก่อน

“ต้องเหนื่อยเจ้าแล้ว”

“ไม่เป็นไรขอรับ เพียงแค่นี้ถือว่าสบายมากสำหรับข้า”

พอกล่าวจบเจียวหั่วก็เดินออกจากห้องพักไป ทิ้งไว้ให้เหลือเพียงเยว่ฉานที่คลายสีหน้ากังวลออก

“เอาล่ะเรื่องทุกอย่างก็ได้คลี่คลายลงแล้ว ส่วนเรื่องงานชุมนุมก็คงได้จบลงเพียงเท่านี้แล้ว พวกเราจะเดินทางกลับตระกูลในรุ่งเช้าของวันต่อไป และอีกอย่างฉานเอ๋อลูกต้องมาฝึกวรยุทธกับพ่อตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

เยว่ฉานหันหน้ามองบิดาของตนและแลบลิ้นให้อย่างน่ารัก ก่อนจะวิ่งออกจากห้องพักไป

“นั้นไง ท่าทางแบบนั้นคงขี้เกียจฝึกวรยุทธกับท่านพ่อเป็นแน่” เยว่เฉินเปากล่าวขึ้นอย่างขบขัน

ทั้งสองสายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อได้รู้แนวทางของเยว่ฉานที่อาจบิดพลิ้วไม่ฝึกปรือวรยุทธ จึงทำได้แต่เพียงถอนหายใจอย่างหดหู่ และเดินออกจากห้องพักไป

กลับมาทางด้านฉางหยางซึ่งตอนนี้เขาทำอะไรไม่ถูกแล้ว แล้วไม่เคยคิดเลยว่าหญิงสาวทั้งสองจะกล้าทำแบบนี้ แถมยังอยู่ต่อหน้าหลวนเฟยอีก

แต่อย่างไรมันก็ช่างหอมหวานน่าประทานจริงๆ ประกอบกับกลิ่นหอมจางๆที่ลอยออกมาจากตัวพวกนางทั้งสอง

“อะแฮ่ม!”

เสียงของหลวนเฟยดังขึ้นมาจากข้างหลังของทั้งสาม จนทำให้หลางหลู่เออร์และหลิ่งซูกระเด้งตัวออกมาจากฉางหยางทันใด สีหน้าของพวกนางปรากฏรอยแดงจางๆ พร้อมหัวใจที่เต้นระส่ำระสายไปมา

ทางด้านฉางหยางเองก็ไม่ต่างกันเลย เขารีบหันหน้าไปหยิบหน้ากากขึ้นมาสวมอย่างรวดเร็ว และกล่าวออกมาด้วยเสียงอันมาดเข้ม

“อะ.เอ่อ ข้าว่าพวกเราควรหาที่พักสักเสียก่อนเถอะ เพราะข้าต้องรักษาอาการบาดเจ็บพวกนี้”

หลวนเฟยมองไปยังทั้งสามต่างก็มีท่าทางเขินอาย มันก็ยิ่งทำให้หัวใจของเขาปวดร้าวไปทั่ว ว่าทำไมเขาถึงไม่มีโอกาสแบบนี้ในชีวิตสักครั้งบ้างนะ

“ก็ได้ เช่นนั้นพวกเราหาที่พักกันก่อน เพราะใกล้จะถึงยามราตรีแล้ว” ถึงจะกล่าวแบบนั้นออกไป แต่ภายในใจลอบก่นด่าสหายผู้นี้อยู่หลายร้อยรอบเลยทีเดียว ที่บังอาจมาเปลี่ยนเรื่องคุยเฉยเลย

แม้จะเป็นแบบนั้นเขาก็ตัดใจไม่คิดเรื่องนี้อีกต่อไป เพราะตราบใดที่เขายังมีหินจิตมารเจ็ดล้านสองแสนก้อนอยู่นี้ หญิงสาวใหญ่น้อยก็ไม่ไกลเกินเอื้อมอยู่แล้ว

“อ๋อ! ข้าลืมบางอย่างไป”

หลวนเฟยส่งสัมผัสเข้าไปในแหวนมิติ แล้วหินจิตมารสามล้านก้อนลอยออกมา จนทำให้ฉางหยางอ้าปากค้าง เมื่อได้เห็นจำนวนหินจิตมารที่มากมายขนาดนั้น

“จ...จะ..เจ้าไปเอาหินจิตมารขนาดนั้นมากจากไหน” เสียงอันตื่นตะลึงถูกเอ่ยขึ้น

“ข้าก็ไปเล่นพนันได้นะสิ และก็นี่ส่วนของเจ้า เพราะถ้าหากไม่เจ้าข้าคงไม่ได้หินจิตมารมากขนาดนี้”

หลวนเฟยโบกเพียงเล็กน้อยหินจิตมารก็ลอยหายเข้าไปในแหวนมิติของฉางหยางทันที โดยที่แม้แต่ไม่ได้เอ่ยเสียงคัดค้านขึ้นมาเลย

“ขอบใจเจ้ามาก”

“ไม่เป็นไรแค่นี้เอง และที่อยู่กับข้าก็มีถึงสี่ล้านเจ็ดแสนก้อน” หลวนเฟยบอกปัดอย่างไร้เยื่อใย

ได้ยินเช่นนี้ยิ่งทำให้ฉางหยางทึ่งในความสามารถของหลวนเฟยเข้าไปอีก ขนาดเขาออกเดินทางไปหลายแห่งยังได้หินจิตมารไม่ถึงหนึ่งในสามของที่หลวนเฟยมีอยู่เลย แต่นี่กลับสามารถหามันได้มากมายถึงเพียงนี้ โดยใช้ไม่ถึงหนึ่งวันเลยด้วยซ้ำ มันช่างไม่ยุติธรรมกับเขาเสียเลย

หลังจากบินมาได้ระยะทางไกลพอสมควร พวกเขาทั้งสี่คนก็ได้มาหยุดพักบริเวณป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งห่างไกลผู้คนพอสมควร มันจึงเหมาะสำหรับพักรักษาตัวอย่างมาก

ภายในป่ายามราตรีได้มีกองไฟกองหนึ่งลุกไหม้อย่างโชติช่วง และเหนือกองไฟก็มีเนื้อเสียบไม้ย่างอยู่ พร้อมส่งกลิ่นหอมน่ารับประทานออกมา

ฉางหยางได้นั่งอยู่มุมหนึ่งของกองไฟ โดยมีหลวนเฟยนั่งอยู่ข้างๆ แต่หญิงสาวทั้งสองกลับนั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขาทั้งสองเลย และบางทีอาจจะเป็นเพราะเหตุการณ์เมื่อยามเย็นนี้ก็ได้ จึงส่งผลให้พวกนางนั่งอยู่ห่างซะขนาดนั้น

ตอนนี้บาดแผลของเขาก็เริ่มฟื้นฟูมาหลายส่วนแล้ว กระดูกแขนที่เคยหักสะบั้นก็เริ่มสมานตัวเขาด้วยกันอย่างช้าๆ พลังลมปราณก็เริ่มฟื้นฟูกลับมาเยอะพอสมควร

“ถ้าหากไม่ได้เม็ดยาของชายชราผู้นั้นละก็ บาดแผลของข้าอีกคงหลายวันกว่าจะฟื้นฟูได้ถึงขนาดนี้”

เขาพยักหน้าอย่างพอใจ เนื่องจากเม็ดยาของชายชราผู้นั้นให้มา มันก็มีแต่เม็ดยาดีๆทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเม็ดยาต้องห้าม “ฟ้ากิเลน” ซึ่งสามารถเพิ่มระดับการบ่มเพาะได้ถึงสามขั้นเลยด้วยกัน

แต่เขาก็จำได้ว่ามันคงสภาพอยู่เพียงแค่สามนาทีเท่านั้น แล้วผลสะท้อนกลับของมันยิ่งกว่าเม็ดยามณีมรกตเสียอีก นั้นก็เพราะว่ามันเป็นเม็ดยาระดับสาม ซึ่งอยู่สูงกว่าเม็ดยามณีมรกตถึงหนึ่งขั้น เลยทำให้ผลสะท้อนกลับของมันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

อย่างไรก็ตามมันก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะเปิดประตูสวรรค์บานที่สาม ด้วยผลึกนภาทั้งสองก้อนนี้ และหากเปิดสำเร็จก็จะเหลือเพียงเพิ่มระดับการบ่มเพาะให้ถึงปราณนิมิตรขั้นที่เก้า เพื่อให้บรรลุขั้นที่สองของเคล็ดวิชากายาหมื่นสวรรค์ “ปฐพีเพลิงโลกันตร์”

“เอ๊ะ! เพิ่มพลังลมปราณรึ”

ฉางหยางเอะใจขึ้นมาทันที เนื่องด้วยเม็ดยาที่เพิ่มระดับการบ่มเพาะก็ไม่แล้ว และถ้าหากเขากินเม็ดยาปราณโลหิตเข้าไปอีกครั้ง ระดับการบ่มเพาะของเขาก็จะเพิ่มเพียงหนึ่งขั้นเท่านั้น

ส่วนเม็ดยาอื่นๆที่สามารถเพิ่มระดับการบ่มเพาะได้ก็มีเพียงแต่เม็ดยาเบิกสวรรค์ที่ว่ากันว่าปรุงยากยิ่งกว่าเม็ดยาปราณโลหิตถึงสามเท่าเลยทีเดียว ประกอบกับวัตถุดิบมากมายที่ต้องนำมาปรุงอีก เลยทำให้มันไม่ค่อยมีผู้ใดมีโอกาสได้ปรุงมันเท่าไหร่นัก

ขนาดราชวงศ์ชินผู้ร่ำรวยยังไม่สามารถหาเม็ดยาเบิกสวรรค์มาได้เลย แล้วเขาล่ะจะเอามาจากไหน ก็ได้แต่หวังพึ่งสมบัติระดับสูงเหมือนกับชายชราผู้เคยเสี่ยงโชคด้วยแล้ว

“คงต้องลองเสี่ยงดูสักครั้ง ถ้าสำเร็จข้าจะไปเข้าสู่ขั้นที่สองสักที”

ฉางหยางมองไปยังเม็ดยาสีเหลืองที่อยู่ในมือ เพราะนี่มันก็เป็นหนทางสุดท้ายของเขาแล้วที่จะเพิ่มระดับการบ่มเพาะให้เลยชั้นปราณนิมิตรขั้นเก้า

“หวังว่ามันจะสำเร็จนะ”

 

0 0 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด