ตอนที่แล้วตอนที่ 74 ตื่นจากการหลับใหล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 76 ใจปล้ำ

ตอนที่ 75 ช่วยเหลือ


ณ สำนักดาราพิชิต

เฉินตี้ที่นอนอยู่ในบ้านพักของฉางหยางตลอดสองเดือนที่ผ่านโดยไม่ได้ออกไปไหนเลย แต่ก็มีหลางหลู่เออร์หลิงซูมาหาบ้างเป็นครั้งคราว พวกนางทั้งสองได้แต่เก็บเขาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ แล้วใช้เวลาที่อยู่กับเฉินตี้เยียวยาแผลใจไปพลางๆ

แต่ทว่าคราวนี้ เฉินตี้ที่นอนอยู่บ้านพักของฉางหยางสัมผัสได้พันธสัญญาที่กลับมาเชื่อมต่ออีกครั้ง หลังจากที่ขาดหายไปเป็นระยะเวลาสองเดือน เพราะตั้งแต่ที่ฉางหยางเข้าไปในเขตแดนโบราณบึงมรณะ พันธสัญญาที่เคยเชื่อมอยู่ก็ถูกช่องว่างของมิติตัดขาดหายไปชั่วคราว

เหตุผลนี้เองจึงทำให้เฉินตี้นึกว่าเจ้านายของมันได้ตายจากไปแล้ว จึงทำให้มันไม่ได้กลับไปที่หุบเขาราชันย์อสูรอีกเลย แต่ตอนนี้พันธสัญญากลับมาเชื่อต่ออีกครั้ง เฉินตี้ไม่รอช้าอีกต่อไป รีบกลับร่างเดิมของตนเองทันที

“บู้มมมม”

ด้วยร่างที่ขนาดใหญ่ ส่งผลให้บ้านพักของฉางหยางพังทลายหายไปพริบตา เหลือเพียงแต่กองไม้ขนาดย่อมๆเท่านั้น จากนั้นร่างของเฉินตี้ก็บินหายไปเข้ากลีบเมฆอย่างรวดเร็ว

หลวนเฟยที่กำลังนอนอย่างเกียจคร้านสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน พร้อมกับร่างที่เต็มไปด้วยไขมันวิ่งออกมาดู พอเขาหันหน้าไปทิศทางที่เสียงดังออกมา ก็พบว่าบ้านพักของฉางหยางพังทลายไม่เหลือชิ้นดีแล้ว

เห็นเช่นนี้แล้วปากที่ปิดสนิทของเขาเริ่มอ้าออกกว้าง มือทั้งสองข้างยกขึ้นขยี้ตาไปมาก่อนจะกล่าวออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาของตนเอง

“มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมบ้านพักของฉางหยางถึงได้เป็นแบบนี้ แล้วเฉินตี้ละ”

หลวนเฟยรีบวิ่งไปดูทันที เขามองหาเฉินตี้อยู่นานแต่ก็พบว่าไม่เห็นแม้แต่เงา เขามองไปที่กองเศษไม้ก่อนจะเดินเขาไปเพื่อค้นหา เพราะอาจจะเป็นไปได้ว่าเฉินตี้นั้นถูกไม้ทับอยู่

“ไม่เจอ หรือว่าบ้านที่พังนี้จะเป็นฝีมือของเฉินตี้ อืมจากที่ดูแล้วมันคงจะจากไปแล้วสินะ เฮ้อ! สองเดือนมานี้คงได้แต่ขอบใจเจ้าที่อยู่เป็นเพื่อนพวกนางทั้งสอง”

หลวนเฟยถอนหายใจยาวก่อนจะเดินกลับไปที่บ้านพักของตนเอง เพราะหากเป็นเช่นดั่งที่เขาคิดละก็ งั้นแสดงว่าเฉินตี้คงออกไปที่ไหนสักแห่ง บางทีอาจจะหนีกลับไปที่หุบเขาหรือป่าที่เคยจากมาแล้วก็เป็นได้

ระหว่างที่เฉินตี้กำลังบินอยู่ ฉางหยางที่ออกมาได้แล้วแต่ทว่าต้องมาเจอกับปัญหาใหม่เสียได้ เพราะที่แห่งนี้ยังเป็นหุบเขาราชันย์อสูรอยู่เช่นเดิม ซึ่งหากเขาโดนสัตว์อสูรตามล่าเหมือนเมื่อคราวก่อนละก็ มีหวังได้เหนื่อยกันอีกรอบแน่นอน

เขามองไปรอบๆสักพักก่อนจะหยิบหน้ากากปีศาจขึ้นมาส่วมที่ใบหน้าแล้วกระจายสัมผัสออกไป เมื่อตรวจแล้วไม่พบสัตว์อสูรบริเวณนี้ ร่างของเขารีบพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ผ่านมาได้สักพักแล้วที่ฉางหยางได้พยายามออกจากหุบเขาราชันย์อสูร ขณะนั้นเองสายตาของเขาเหลือบไปเห็นซีราคิวส์ภูผาตัวหนึ่งกำลังต่อสู้กับกลุ่มผู้ฝึกวรยุทธอยู่ ทั้งหมดมีอยู่ด้วยกันสามคน สองคนเป็นสตรี ส่วนอีกคนเป็นบุรุษ ทั้งสามคนอายุประมาณสิบห้าสิบหกเท่านั้น

แต่ว่าระดับการบ่มเพาะทั้งสามกลับอยู่ปราณบรรจบขั้นที่ห้าหรือหกกันแล้ว ฉางหยางเขามองดูสักพักและเตรียมจะพุ่งตัวจากไป เพราะเขาก็ไม่อยากนำปัญหามาใส่ตัวเท่าไรนัก ซึ่งมันจะทำให้เขาเหนื่อยเปล่า แต่ระหว่างที่เขากำลังจะพุ่งทะยานไปก็มีเสียงสดใสดังขึ้นมา

“เจ้า! เดี๋ยวก่อนอย่าพึ่งไป”

ร่างของฉางหยางหยุดชะงักทันที แล้วจากนั้นก็ค่อยๆหันหน้ากลับมาอย่างช้าๆ พร้อมกับกล่าวด้วยเสียงที่นุ่มลึก

“ไม่ทราบว่าแม่นางมีอะไรกันข้าเช่นนั้นรึ”

หญิงสาวใส่ชุดจอมยุทธสีเหลืองขดริมฝีปากเล็กน้อยก่อนกล่าวออก

“หากเจ้าช่วยข้าจัดการซีราคิวส์ภูผาตัวนี้ได้ ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างงามเลย”

ได้ยินเช่นนี้ คิ้วของเขากระตุกเล็กน้อย เพราะตอนนี้เขาต้องการหินจิตมารเพื่อไปซื้อทรัพยากรบ่มเพาะ แต่เขาก็ไม่รู้จะไปหามันได้จากที่ไหน

ฉางหยางมองไปที่ซีราคิวส์ภูผากำลังต่อสู้กับอีกสองคนอยู่ ก็พบว่ามันมีระดับการบ่มเพาะอยู่ชั้นปราณบรรจบขั้นที่เจ็ดเท่านั้น ซึ่งมันก็หนักมือสำหรับเขาพอสมควร แต่มันก็มีเรื่องที่ค้างคาใจของเขาอยู่ เพราะว่าระดับการบ่มเพาะของเขาอยู่เพียงปราณนิมิตรขั้นที่ห้าเท่านั้นแล้วทำไมแม่นางผู้นี้ถึงจะให้เขาเข้าไปช่วยสู้อีก

ส่วนทางด้านหญิงสาวกลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะว่าในหุบเขาราชันย์แห่งนี้เป็นสถานที่ต้องห้าม ซึ่งมันเป็นไม่ได้เลยที่ผู้ฝึกวรยุทธชั้นปราณนิมิตรจะกล้าเข้ามาที่แห่งนี้คนเดียวได้ ดังนั้นในความคิดของนางนั้นบุรุษผู้สวมชุดจอมยุทธสีเหลืองผู้นี้ต้องปกปิดระดับการบ่มเพาะไว้อย่างแน่นอน

ซึ่งเหตุผลนี้เองทำให้นางตัดสินใจขอความช่วยเหลือออกไป แต่ทว่ากลับได้ยินเสียงของฉางหยางกล่าวถามออกมาแทน

“ทำไมแม่นางผู้มีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าข้าถึงต้องการความช่วยเหลือจากข้ากัน”

ได้ยินที่ฉางหยางกล่าวออกมา สีหน้าของนางเริ่มแปรเปลี่ยนเล็กน้อยก่อนจะครุ่นคิดบางอย่าง “หรือว่าเขาจะมีระดับการบ่มเพาะชั้นปราณนิมิตรจริงๆ ไม่ๆ มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีระดับการบ่มเพาะอยู่แค่นี้แน่”

“ท่านพี่ไป๋ชุน พวกข้าสองคนเริ่มจะสู้มันไม่ไหวแล้ว ท่านจะทำอะไรก็รีบทำเสียเถอะ” หญิงสาวอีกคนที่สวมชุดจอมยุทธสีขาวกล่าวออกมาด้วยท่าทางที่เหนื่อยหอบ

“ท่านพี่เร็วเข้าเถอะ พวกข้าสองคนเริ่มจะต้านมันไม่ไหวแล้ว” บุรุษอีกคนที่สวมชุดจอมยุทธสีแดงกล่าวเตือนออกมาอย่างเร่งรีบ เพราะทั้งสองมีระดับการบ่มเพาะเพียงปราณบรรจบขั้นที่ห้าเท่านั้น ซึ่งนั้นคงจะไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับซีราคิวส์ภูผาที่มีร่างกายกำยำล้ำเลิศ แถมระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่า

ชินไป๋ชุนเห็นทั้งสองเริ่มต้านไม่ไหวแล้ว นางหันมามองที่ฉางหยางก่อนจะกล่าวด้วยท่าทางที่อ้อนวอน

“ข้าจะให้เจ้าสามแสนหินจิตมารเลย หากเจ้าช่วยพวกข้าจัดการกับซีราคิวส์ภูผาตัวนี้”

ฉางหยางถึงกับตาลุกวาวทันที เพราะมันเหมือนกับว่าต่อยหมัดเดียวได้กำไรสองต่อเลยทีเดียว ซึ่งเขาได้ทั้งหินจิตมาร ทั้งได้แก้แค้นไอ้สัตว์อสูรนรกพวกนี้ไปในตัว เขาเผยรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกล่าวด้วยเสียงที่นุ่มลึกเช่นเดิม

“แม่นาง ท่านอย่าได้ลืมคำกล่าวที่ท่านได้ให้ไว้กับข้าเสียละ”

หลังจากที่ฉางหยางได้กล่าวจบ เขาก็เริ่มโคจรพลังลมปราณให้ไหลไปรวมอยู่ที่จุดชีพจรบริเวณเท้าทันที พร้อมใช้เคล็ดวิชาท่องนภาออกไป

“พรึบบ”

พริบตาร่างของเขาปรากฏตัวข้างๆซีราคิวส์ภูผา แล้วจากนั้นเขาตวัดขาเตะออกไป

“ตูมมมม”

พลังกายที่เทียบเท่าปราณบรรจบขั้นสูงปะทะเข้ากับร่างของซีราคิวส์ภูผา ส่งผลให้ร่างของมันถอยหลังไปหกก้าวเลยทีเดียว แต่ทว่าก็ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างบาดแผลให้กับมันได้ เพราะร่างกายของมันถูกสรรค์สร้างขึ้นด้วยมัดกล้ามที่แข็งแกร่ง ประกอบกับได้รับการหนุนเสริมจากพลังลมปราณภายในร่าง ทำให้ร่างกายของมันแข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้าเสียอีก

ตอนนี้ใบหน้าของฉางหยางเริ่มเย็นชาขึ้นเรื่อยๆแล้ว ขนาดรับลูกเตะของเขาที่ผ่านการยกระดับร่างกายมาแล้วยังไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย

ฉางหยางพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมโคจรพลังลมปราณสะสมไว้ที่เท้าจนเกิดออร่าสีทองออกมา แล้วตวัดขาเตะเข้าที่หัวของซีราคิวส์ภูผาอย่างรุนแรง

“ตูมม”

แรงปะทะส่งผลให้ร่างของซีราคิวส์ภูผาปลิวกระเด็น กระแทกเข้ากลับต้นไม้ทันที แต่ทว่าฉางหยางยังไม่พอแค่นั้น เพราะในไม่ช้าฝูงชีราคิวส์ภูผาจำนวนมากต้องมาที่แห่งนี้เป็นแน่ เขาจะต้องรีบจบการต่อสู้ให้เร็วอย่างที่สุด

ว่าแล้วฉางหยางรีบโคจรผสานทันที เพราะนี่มันเป็นโอกาสของเขาแล้วที่จะทดสอบตัวเอง ว่าหากทุ่มพลังเต็มสิบส่วนจะสามารถต่อกรกับชั้นปราณบรรจบขั้นสูงได้หรือไม่

พลังลมปราณภายในร่างเริ่มหนักหน่วงและหมุนวนเร็วขึ้นเรื่อยๆ แรงกดดันมหาศาลเริ่มทะลักออกมาจาก สายลมเริ่มโบกสะบัดไปมา สิ่งรอบตัวของเขาเริ่มเหือดแห้งลงอย่างช้าๆ

ทั้งสามคนสัมผัสได้ถึง แรงกดดันมหาศาล และไอความร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวฉางหยาง พวกเขาทั้งสามรีบกระโดดถอยห่างออกมาด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก เพราะพวกเขาทั้งสามไม่เคยเห็นแรงกดดันที่มากมายเช่นนี้มาก่อน

“นั้นมันอะไร เขากำลังจะทำอะไร หรือว่ากำลังจะใช้เคล็ดวิชา” ชินไป๋ชุนกล่าวออกมา

แต่อีกสองคนที่เหลือได้แต่ยืนจ้องมองไปที่ฉางหยางอย่างไม่วางตา เพราะอย่างไรพวกเขาทั้งสองก็ไม่เคยเห็นผู้ฝึกวรยุทธอายุใกล้เคียงกันมีความสามารถโดดเด่นกว่าพวกเขาเลย.....

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด