ตอนที่แล้วตอนที่ 32 อันตราย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 34 มังกรทองเเก้วผลึก

ตอนที่ 33 พลังใหม่


ณ เขตแดนโบราณ

เสียงชายชราเก่าแก่โบราณได้สติแตกด้วยความโกรธเกรี้ยว  คำรามออกมาลั่นทั่วเขตแดนโบราณ “บัดซบบบบบ! ไอ้หนู แกบังอาจมาก แกบังอาจชิงพลังลมปราณของข้า ข้าฝากไว้ก่อนไอ้หนู หนีครั้งนี้ข้าจะเอาคืนแน่”

ตอนนี้ที่ประตูสวรรค์ของฉางหยาง ลูกแก้วเพลิงนิลบรรพกาล และลูกแก้วเพลิงทมิฬได้ลุกไหม้อย่างโชติช่วง ทั้งสองลูกได้แผ่เปลวเพลิงเข้าผสมกันอย่างพอดีได้น่าประหลาดใจ พลังลมปราณที่อยู่ในประตูสวรรค์ของเขาตอนนี้ค่อยๆเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ

ลูกแก้วทั้งสองลูก ที่มีเปลวเพลิงต่างชนิดกันลุกไหม้อยู่ได้หมุนวนกันไปมาเริ่มใกล้เข้ามาใกล้กันเรื่อยๆ จากนั้นลูกแก้วทั้งสองก็ค่อยๆหลอมรวมเข้าด้วยกัน

ณ โลกภายนอก ร่างกายของฉางหยางที่กำลังลอยอยู่บันท้องฟ้า เปลวเพลิงทั้งสองชนิดได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากภายใน ทางด้านขวาเป็นเปลวเพลิงทมิฬ ด้านซ้ายเป็นเปลวเพลิงนิลบรรพกาล ป่าที่อยู่โดยรอบถูกเผาเป็นเถ้าถ่านทันที อากาศเริ่มเหือดแห้ง พื้นดินเริ่มไหม้เกรียม

ขณะนั้นเองหญิงสาวทั้งสองก็ได้มาถึงพอดี ทั้งสองยืนมองด้วยความตื่นตระหนก เพราะตอนนี้ร่างกายของฉางหยางมีเปลวเพลิงสองสีลุกไหม้อยู่ พลังความร้อนที่แผ่ออกมา ทำให้พวกนางทั้งสองไม่สามารถเข้าใกล้ได้มากกว่านี้แล้ว

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงเป็นเช่นนี้” หลิ่งซูกล่าวพร้อมกับริมฝีปากที่สั่นเครือ

“ข..ข้าจะไปช่วยเขา” หลางหลู่เออร์กำลังจะพุ่งไปช่วยฉางหยางแต่ก็ถูกหลิ่งซูจับแขนไว้แน่น

“เจ้าจะบ้ารึไร เจ้าไม่เห็นรอบๆรึ ทั้งหมดกลายเป็นเถ้าถ่านหมดแล้ว หากเจ้าเข้าไปใกล้กว่านี้ เจ้าได้ตายแน่นอน พวกเราต้องเชื่อใจเขา” หลิ่งซูกล่าวเตือนออกมา

“ต..แต่ข้า” หลางหลู่เออร์กล่าวออกมาอย่างสั่นเครือ หยดน้ำตาเริ่มไหลออกมา เนื่องจากนางนั้นไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเขาได้เลย นางทำได้เพียงแต่ยืนดูเท่านั้น

ร่างกายของฉางหยางตอนนี้เริ่มไหม้เกรียมแล้ว เสียงร้องดังออกมาอย่างต่อเนื่อง เพราะเปลวเพลิงทั้งสองกำลังแผดเผาเขาอยู่ ส่วนเฉินตี้ที่ได้ตามทั้งสองมา ดวงตาของมันจ้องมองไปที่เจ้านายด้วยแววตาสดใส

อย่างไรก็ตามที่บานประตูสวรรค์ของฉางหยาง จากรูปตาที่มีสัญลักษณ์เปลวเพลิงทมิฬอยู่ในดวงตา มันได้ค่อยๆจางหายไปอย่างช้าๆ

ภายในประตูสวรรค์ ลูกแก้วทั้งได้หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์แล้ว เกิดเป็นลูกแก้วสีทองอร่าม ปล่อยปลดเปลวเพลิงสีทองออกมา ซึ่งมันสามารถทำให้ทุกสิ่งที่อยู่ในจักรวาลตกอยู่ในความหวาดกลัวได้

ดวงตาที่ประตูสวรรค์ได้ลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงสีทอง ณ โลกภายนอกเปลวเพลิงทั้งสองที่ลุกไหม้ตามตัวของฉางหยาง ได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน แล้วเปลี่ยนเป็นสีทองส่องแสงประกายจนแสบตา

หญิงสาวทั้งสองเห็นสถานการณ์แบบนี้ก็อ้าปากค้างทันที เพราะทั้งสองนั้นไม่สามารถสัมผัสถึงความร้อนของเปลวเพลิงสีทองนั้นได้เลย

“ทำไมข้าไม่รู้สึกถึงไอความร้อนเหมือนแต่ก่อนเลย” หลางหลู่เออร์พึมพำออกมา

“ข้าก็เหมือนกัน นั้นเปลวเพลิงอะไรทำไม ข้าไม่รู้สึกว่ามันร้อนเลย” หลิ่งก็กล่าวเสริมออกมา

ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ ร่างที่บาดเจ็บสาหัสของฉางหยางก็เริ่มฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว กระดูกที่เคยแตกหัก เริ่มจับตัวกันสนิท เสาแสงสีแดงค่อยๆเลือนลางหายไปในท้องฟ้ายามราตรี

เฉินตี้สัมผัสความเปลี่ยนแปลงในร่างเจ้านายได้ มันรีบกลับไปทันที แล้วปรากฏตัวอีกครั้งที่ประตูสวรรค์ของเขา

ตอนนี้ที่ประตูสวรรค์พลังลมปราณค่อยๆเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทอง แต่ว่าก็มีคุณสมบัติเปลวเพลิงอยู่ เฉินตี้ที่อยู่ภายในประตูสวรรค์ รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ร่างกายของมัน เริ่มอาบเปลวเพลิงทองเกล็ดศิลาตามลำตัวเปลี่ยนไปเป็นแก้วผลึกสีทอง

ปีกผลึกสีทองเริ่มงอกออกมา บนหัวของเฉินตี้ปรากฏเขาผลึกทองแหลมคม ดวงตาที่เคยเป็นสีแดงเปลี่ยนสีทอง เปลวเพลิงทมิฬที่เคยลูกไหมตามตัวกลายเป็นสีทองเหมือนกัน สัญลักษณ์ที่มือของฉางหยางจากที่เคยเป็นรูปงูสีดำมีเพลิงไหม้ แต่ตอนนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม มีปีกและเขางอกออกมา แถมระดับการบ่มเพาะของเฉินตี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปราณบรรจบขั้นที่สาม

ปราณบรรจบขั้นที่สี่

ปราณบรรจบขั้นที่ห้า

ปราณบรรจบขั้นที่หก

ระดับการบ่มเพาะของเฉินตี้ได้หยุดที่ปราณบรรจบขั้นที่หก พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากประตูสวรรค์ก็กระจายเข้าสู่เส้นพลังลมปราณของฉางหยางเหมือนกัน ทำให้ระดับการบ่มเพาะเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ปราณนิมิตร ขั้นที่หนึ่ง

ปราณนิมิตร ขั้นที่สอง

แล้วได้หยุดลงที่ปราณนิมิตขั้นที่สองเท่านั้น เนื่องจากเฉินตี้ได้แย่งพลังลมปราณส่วนหนึ่ง เพื่อวิวัฒนาการและเพิ่มระดับการบ่มเพาะ จึงทำให้เหลือพลังลมปราณเพียงเท่านี้เอง

ณ สุดขอบจักรวาล

ดวงดาวแห่งหนึ่งที่แผ่ไอความร้อนออกมาได้มีหญิงชรา นั่งอยู่ในห้องโถงลับ นางนั้นมีระดับการบ่มเพาะมิอาจจินตนาการได้ แต่ทว่าสายตาของนางเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง นางมองไปที่หินศิลาที่ดูเก่าแก่ที่สืบทอดมาในตระกูลของนางตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม

“เฮ้อ! ตระกูลของข้าตอนนี้ช่างตกต่ำยิ่งนัก ตามบันทึกที่ได้สืบทอดมานั้น นี่ก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว แต่ก็ไม่มีทีท่าเลยว่ามันจะปรากฏออกมา หรือว่านี่จะเป็นเรื่องที่เหลวไหลกันแน่”

ระหว่างที่นางกำลังบ่นพึมพำอยู่ เปลวไฟสีทองก็ลุกไหม้ออกมาจากหินศิลา ทำให้นางจ้องมองอย่างตกตะลึง พร้อมอุทานออกมาด้วยความสั่นสะท้าน

“มะ..มันออกมาแล้ว ในที่สุดดวงดาวแห่งนี้ก็รอดแล้ว หลังจากที่พวกเรารอคอยมาเป็นเวลานาน” หลังจากที่กล่างจบหญิงชราก็รีบออกจากห้องโถงลับทันที

ณ อาณาจักรชิน ตอนนี้ทั่วทั้งอาณาจักรตกอยู่ในความวุ่นวาย เพราะก่อนหน้านี้ เหล่าผู้ฝึกวรยุทธสัมผัสพลังที่แผ่ออกมาของผนึกกลั่นสกัด ทำให้ทุกขุมพลังอำนา เริ่มกระจายกองกำลังของตนเองออกตามหา ว่าพลังนี้แผ่ออกมานี้มันคืออะไร มันคล้ายกับสองเดือนก่อนยิ่งนัก ทำให้ทุกคนคาดเดาไปว่ามันต้องมีสมบัติระดับสูงปรากฏตัวออกมาแน่

อย่างไรก็ตามตอนนี้ร่างของฉางหยางก็ค่อยๆลอยลงมาสัมผัสที่พื้นอย่างแผ่วเบา เปลวเพลิงสีทองที่ลุกไหม้ก่อนหน้านี้ได้ หายเข้าไปในร่างกายของเขาแล้ว

ออร่าสีทองครอบคลุมไปทั่วร่างของเขา พื้นที่ไหม้เกรียมและต้นไม้ที่ถูกเผาก่อนหน้านี้ ได้ฟื้นคืนสภาพอย่างรวดเร็วเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ร่างของเขาจากที่ผอมแห้งตอนนี้เริ่มมีกล้ามเนื้อ ล่ำสันขึ้นเล็กน้อย

เมื่อสัมผัสถึงพื้นดวงตาสีทองอร่ามก็เปิดขึ้นมา หญิงสาวทั้งสองนางมองไปที่ฉางหยาง ซึ่งตอนนี้ดูหล่อเหลาเอาการอย่างมาก ราวเทพบุตรก็มิปาน เพราะเสื้อที่ฉีกขาดเผยให้เห็นร่างกายที่สมส่วนและล่ำสัน ดวงตาปกติที่เป็นสีดำกลายเป็นสีทองสว่างสดใส ยิ่งทำให้พวกนางทั้งสองตอนนี้รู้สึกรุ่มร้อนภายในใจของตัวเอง

“พวกเจ้าทั้งสองกำลังทำอะไร” ฉางหยางถามออกไป

“ข้าแค่รู้ว่าเจ้ากำลังต่อสู้อยู่ และว่ากำลังจะมาช่วยแต่ก็เห็นเจ้าอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว” หลิ่งซูตั้งสติแล้วกล่าวออกมาอย่างเขินอาย

“ขะ...ข้าก็เหมือนกัน” หลางหลู่เออร์หันหลังกล่าวพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่เปื้อนบนใบหน้าออก

“แล้วเมือครู่นี้มันคืออะไร ทำไมร่างกายของเจ้าที่บาดเจ็บจากเปลวเพลิงสองสี กลับฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว แล้วเปลวเพลิงสีทองนั้นอีก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” หลางหลู่เออร์ที่ถามออกไปทันที

เห็นหลางหลู่เออร์เออร์ที่ถามออกมาด้วยความเป็นห่วง ทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจและพูดความจริงออกมา “ข้ากำลังจะถูกใครบางคนชิงเคล็ดวิชาของข้าไป”

“เคล็ดวิชา? มันชิงได้ด้วยรึ นอกจากจะถ่ายทอดลงในศิลาแล้วถึงจะเอาเคล็ดวิชาไปได้” หลิ่งซูถามออกมา

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่ข้ารู้ในโลกใบนี้ มีคนที่ต้องการจะสังหารข้า และคนผู้นั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก ณ ตอนนี้ข้านั้นไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ หากเขาพบข้าอีกครั้งข้าจะต้องตายอย่างแน่นอน” ฉางหยางอธิบายออกไป

“เช่น นั้นแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ข้าจะเก็บไว้เป็นความลับให้เอง พวกข้าจะพูดเกี่ยวกับเหตุการณ์ของวันนี้อีก” หลางหลู่เออร์รีบกล่าวออกไปด้วยความหวังดี

“อืม ข้าก็เช่นกัน ข้าจะไม่บอกใครทั้งนั้น” หลิ่งซูก็กล่าวเสริม

“เอาล่ะ ค่อยคุยกันต่อตอนนี้พวกเราต้องออกจากที่นี่อย่างเร่งด่วน ป่าอสูรคลั่งพวกเราคงไม่ต้องไปแล้ว เราจะรีบเดินทางไปที่ป่านิรันดร์ทันที เพื่อหลีกเลี่ยงผู้ฝึกวรยุทธที่จะมาที่นี่” ฉางหยางรีบบอกทั้งสองให้รีบเตรียมตัวทันที

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด