ตอนที่แล้วตอนที่ 4 ยากจน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 6 ตื่นตระหนก

ตอนที่ 5 เปลี่ยนเเปลง


เมืองเทียนตี้

ที่มุมหนึ่งของริมถนน ฉางหยางนั่งจ้องมองผู้คนมากมายที่กำลังเดินเลือกซื้อสิ่งของตามแผงลอยที่ตั้งข้างริมถนนอยู่ เขาได้แต่เก็บความรู้สึกอิจฉาคนพวกนั้นไว้ในใจ เพราะสักวันหนึ่งเขาจะต้องร่ำรวยให้ได้ แล้วก็ซื้อบ้านสักหลังอยู่อย่างสบายในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ให้ได้

สักพักเขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปตามถนนไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะไปแห่งหนใด ได้จะมุ่งหน้าต่อไปแบบไร้จุดหมาย ผู้คนที่เดินตามถนนต่างก็รีบขยับเดินออกห่างจากตัวเขาดัวยความรังเกียจ เกลียดชังอย่างมากล้น แต่เขาก็หาได้สนใจไม่ เพราะนี่มันคือชีวิตที่เขาได้ประสบพบเจอมาตลอดช่วงเวลาสองปีมานี้

ฉางหยางได้เดินไปตามถนนค่อยมองผู้คนรอบข้างอย่างช้าๆ แต่ทว่าก็มีกลิ่นเนื้อกระต่ายป่าย่าง ลอยมาตามสายลมเข้าไปภายในจมูกจนทำให้เกิดเสียงท้องร้องดังขึ้นมา “จ๊อกๆ”

เขาค่อยๆหันหน้าไปทางทิศที่กลิ่นเนื้อกระต่ายลอยมา ข้างหน้าของฉางหยางปรากฏปราสาทขนาดใหญ่ พร้อมประดับด้วยป้ายชื่อ “ตระกูลหลง” และมีผู้คนเดินเข้าออกเป็นจำนวนมาก

ภายในตระกูลหลงได้มีการจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง เนื่องจากบุตรชายผู้นำตระกูลหลงได้ทำการทดสอบเข้านิกายฟ้าสว่างได้สำเร็จ นี่จึงทำให้ตระกูลหลงได้จัดงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ถึงเจ็ดวันคืนเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามนิกายฟ้าสว่างก็เป็นถึงนิกายที่อยู่อันดับสามของการจัดอันดับในอาณาจักรชิน ส่วนการทดสอบเข้านิกายนั้นต้องค่อนข้างยากพอสมควร และนิกายนี้จะรับเฉพาะผู้ที่มีพรสวรรค์เป็นมากเท่านั้น

ฉางหยางถอนหายใจพร้อมกับสีหน้าที่หดหู่ ค่อยๆหันหน้ากลับมา แล้วเดินไปตามถนนพร้อมกับครุ่นคิดอยู่ภายในใจ

“หากข้ามีเงิน ข้าก็จะสามารถซื้ออะไรก็ได้ ข้าก็ได้อยู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องมาคอยอดมื้อกินมื้ออยู่อย่างนี้”

เขาได้เดินตามถนนมาเรื่อยๆจนถึงใกล้ประตูหลังของเมือง แต่ในขณะนั้นเองได้ปรากฏเด็กหนุ่ม ใส่ชุดจีนสีแดงเพลิง เปล่งประกายจนแสบตา อายุประมาณสิบแปดถึงสิบเก้าปีเดินมาพร้อมกับบ่าวรับใช้สองคน

เด็กหนุ่มที่กำลังเดินมาได้หันมองไปทางข้างริมถนนเพื่อดู สมบัติ หรือศิลาทักษะ แต่ยังไม่ทันได้ดูทางให้ดี เขาก็เดินมาชนฉางหยางจนล้มลงกับพื้นเสียแล้ว

“อะไรวะ!” เด็กหนุ่มใส่ชุดสีแดงเพลิงกล่าวออกมาด้วยความหงุดหงิด

“เป็นอะไรไหมขอรับนายน้อย” บ่าวคนหนึ่งรูปร่างล่ำสัน มีกล้ามเป็นมัดๆ ได้กล่าวออกมาด้วยความตกใจ ระดับพลังลมปราณที่ปล่อยออกมาจากบ่าวคนนี้มิอาจดูถูก มันถึงกับอยู่ในระดับปราณชั้นนิมิตรขั้นที่สี่เลยทีเดียว

“แก ไอ้ขอทานเดินไม่ดูทางหรือไงวะ” เด็กหนุ่มที่ใส่ชุดจีนสีแดงเพลิงมองที่ฉางหยางและกล่าวออกมาด้วยความโกรธ

 

อย่างไรก็ตามระดับการบ่มเพาะของเด็กหนุ่มผู้นี้กลับไม่ธรรมดา เพราะขนาดอยู่ในชั้นปราณนิมิตรขั้นที่สองเลยทีเดียว แถมจิตสังหารที่ปล่อยมาราวกับมหาสมุทรคลั่งก็มิปาน

“ถ้าชุดของข้าเปื้อนดินโคลนจากเศษสวะอย่างแก แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร” เด็กหนุ่มชุดสีแดงเพลิงกล่าวพร้อมกำลังเดินไปข้างหน้าของฉางหยาง

ฉางหยางที่ล้มอยู่บนพื้นเงยหน้ามองไปเด็กหนุ่มใส่ชุดสีแดงเพลิงพร้อมกับกล่าวด้วยความขุ่นเคือง

“เป็นเจ้าเองไม่ใช่รึ ที่เดินมาชนข้า แล้วเจ้ายังจะมาโทษข้าได้อย่างไร”

“ฮึ ! แกกำลังจะบอกว่าข้าเป็นคนผิดอยู่อย่างนั้นซินะ” เด็กหนุ่มชุดจีนสีแดงเพลิงกล่าวด้วยโกรธพร้อมกับเส้นเลือดที่ปูดออกมาจากหน้าผาก มือทั้งสองกำแน่นจนกระดูกลั่นไปหมด

ในขณะที่เกิดการโต้เถียงกันเกิดขึ้นผู้คนรอบข้างเริ่มหันมาให้ความสนใจกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนะตอนนี้ และพร้อมกับเสียงที่ซุบซิบนินทาที่เริ่มดังขึ้น

“นั้นมันนายน้อยตระกูลหลง หลงเทียนนิ ข้าได้ยินว่าเขาสามารถสามารถเข้านิกายฟ้าสว่างได้ นี่ช่างไม่ธรรมดาเสียจริง” ชายวัยกลางคนที่เป็นหนึ่งผู้กำลังดูเหตุการณ์กล่าวด้วยความตกใจ

“อะไรนะ! นายน้อยหลงเทียน คนนั้นนะรึ” อีกคนที่กำลังพูดขึ้นด้วยความตกใจ

บ่าวอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลงเทียน รูปร่าง ผอมแห้ง ตามใบหน้าและร่างกายของบ่าวคนนี้มีรอยแผลที่เกิดจากต่อสู้เป็นจำนวนมาก

แสดงให้เห็นว่าได้ผ่านประสบการณ์ต่อสู้มาอย่างโชกโชน แรงกดดันพลังลมปราณที่บ่าวผู้นี้ปล่อยออกมานั้นได้มากกว่าหลงเทียนอีกเสียด้วย ระดับการบ่มเพาะบ่าวรูปร่างผอมแห้งผู้นี้สูงกว่าบ่าวรูปร่างล่ำสันถึงหนึ่งขั้น ช้แล้วมันอยู่ในระดับนิมิตขั้นที่ห้านั้นเอง

อย่างไรก็ตามบ่าวรูปร่างผอมแห้งเห็นท่าไม่ดี จึงได้เดินเข้ามาข้างของหลงเทียนพร้อมกับกล่าว

“นายน้อยขอรับ วันนี้เป็นวันมงคลของนายน้อยนะขอรับ ท่านไม่ควรเสียเวลากับสวะขอทานเช่นนี้ และอีกอย่างนายน้อยตอนนี้มีคนมามุงดูพวกเราเป็นจำนวนมาก นายน้อยอาจเสียภาพพจน์ได้นะขอรับ”

“ฮึ! ก็ได้งั้นข้าฝากเจ้าจัดไอ้ขยะนี้ด้วยเอาพอเบาะๆพอนะ เดียวมันตายข้าขี้เกียจเก็บศพของมัน”

“นายน้อยไว้ใจข้าได้เลยขอรับ ข้าจะรีบจัดการแล้วรีบตามท่านไป” บ่าวร่างผอมกล่าวด้วยความภูมิใจ

หลังจากนั้นหลงเทียงได้เดินออกไปพร้อมกับบ่าวที่ดูล่ำสันอีกคน ทิ้งให้เหลือแต่บ่าวที่มีรูปร่างผอมแห้งยืนดูฉางหยางอยู่ เขาเผยรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยพลางอย่างดูถูก

“ขอทานอย่างเจ้าบังอาจเดินมาชนนายน้อยของข้า คงอยากตายมากสินะไอ้สวะ”

หลังจากที่กล่าวจบร่างผอมแห้งก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พริบตาก็ปรากฏต่อหน้าของฉางหยางแล้ว พร้อมกับปล่อยฝ่ามือเข้ากระแทกไปที่หน้าอก

“ตูม”

จนทำให้ร่างของฉางหยางกระเด็นกระดอนไปตามพื้นและกระอักเลือดออกมาคำโต

ณ ตอนนี้ฉางหยางได้ใช้มือกุมไปที่หน้าอกของตัวเองอย่างเจ็บปวด ผู้คนรอบข้างเห็นเหตุการณ์เช่นนี้แล้วต่างก็รู้สึกสงสารไอ้หนูผู้โชคร้ายผู้นี้อย่างมาก แต่ก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าไปช่วยไอ้หนูขอทานผู้นี้เลย

ที่เมืองแห่งนี้ตระกูลหลงค่อนข้างมีอำนาจพอสมควร นี่จึงทำให้ผู้คนรอบได้เพียงแต่สายหน้าและเดินจากไป เหมือนไม่อยากดูภาพที่สดสยอง

ฉางหยางที่บาดเจ็บอย่างหนัก เหมือนกับมีคนเอาค้อนปอนด์ห้าสิบกิโลกรัมมาทุบเข้าที่หน้าอกของตน เขาได้เงยหน้าขึ้นจ้องมองไปที่บ่าวรูปร่างผอมด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวราวกับคนตาย เรื่องในวันนี้เขาจะต้องเอาคืนอย่างแน่นอน

“นี่บทเรียนสำหรับเจ้าที่ล่วงเกินนายน้อยของข้าเอาไว้” บ่าวรูปร่างผอมกล่าวพร้อมกับเดินจากไป

ในโลกของผู้ฝึกวรยุทธเป็นโลกที่โหดร้ายเป็นอย่างมาก คนอ่อนแอถูกย่ำให้จมดิน แต่คนแข็งแกร่งผงาดขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้ทุกคนต้องการอำนาจเพื่อปกป้องคนที่ตนรัก หรือต้องการอำนาจเพื่อแย่งชิงจากคนอื่น

ฉางหยาง ที่กำลังเจ็บปวดอย่างทรมานได้พยุงตัวเองไปให้เดินหน้าต่อไปข้างหน้า ผ่านไปสักพักเขาก็เดินมาถึงประตูเมืองเทียนตี้ ทหารรักษาการจ้องมองมาที่เขาแล้วกล่าวถามด้วยความเป็นห่วง

“ไอ้หนู เจ้าเป็นอะไรรึไม่”

“ข..ข้าไม่เป็นไร ท่านไม่ต้องเป็นห่วง” ฉางหยางกล่าวพร้อมกับเดินผ่านประตูเมืองมุงหน้าไปทางป่าภูเขาหลังเมืองด้วยความเชื่องช้า

“ข้าว่าไอ้หนูนั้นไม่รอดแน่เลยวะ” ทหารรักษาการที่ยืนอยู่ประตูอีกคน กล่าวพร้อมถอนหายใจ พร้อมกับหันหน้ามองไปที่ฉางหยาง

“จะทำอย่างไรได้ละ ก็โลกใบนี้มันก็โหดร้ายยิ่งนัก และอีกอย่างนะไอ้หนูนั้นมันเป็นแค่คนธรรมดา มันไม่ใช่ผู้ฝึกวรยุทธอีกด้วย ข้าว่าไอ้หนูนั้นต้องไม่พ้นคืนนี้แน่เลย” ทหารรักษาการอีกคนกล่าวพร้อมกับสายหัว

ในระหว่างนั้นตะวันเริ่มจะลับขอบฟ้าเข้าไปทุกทีแล้ว ทำให้ใกล้เข้าสู่ยามราตรี เต็มทีแล้ว

ฉางหยางที่กำลังเดินอยู่ในป่าหลังภูเขาได้ค่อยเดินพยุงตัวมาอย่างช้า จนกระทั้งได้ยินเสียงน้ำไหล เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็รีบเดินไปตรงที่มีเสียงน้ำไหลออกมา ปรากฏแม่น้ำที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนักบริเวณข้างริมแม่น้ำมีก้อนหินอยู่เป็นจำมาก ทำการเดินค่อนข้างลำบากเลยทีเดียว

เขารีบเดินไปที่แม่น้ำเพื่อล้างตัวที่เปื้อนคราบเลือด จากนั้นได้ค่อยๆนำมือไปสัมผัสที่หน้าอกของตนเอง ก็เห็นรอยแผลที่ขนาดไม่ใหญ่มากนักแต่มีเลือดกำลังไหลออกมา พอเห็นเช่นนี้รีบเอาน้ำจากแม่น้ำมารีบล้างที่หน้าอก แล้วมองไปที่ต้นไม้ข้างริมแม่น้ำพร้อมกับเดินก้าวเท้าไปข้างหน้า

ในขณะนั้นเองเขาได้เดินไปสะดุดก้อนหินข้างริมแม่น้ำ ล้มลงพร้อมกับมือที่เปื้อนเลือดได้ไปโดนศิลาที่เก่าแก่ดูโบราณ ทำให้ศิลาเก่าแก่เปล่งแสงสีแดงพร้อมกับอักขระโบราณที่ออกมาจากศิลาเก่าแก่ ลอยขึ้นเหนือท้องฟ้า ยามตะวันพลบค่ำ

“ทึ่ม ฟิ้ว” เสียงพลังอำนาจที่ถูกปลดปล่อยของมากจากอักขระโบราณ และแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด