ตอนที่แล้วตอนที่ 48 เปลี่ยน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 50 พลังใหม่

ตอนที่ 49 ลูกแก้ววิญญาณมนุษย์


49

 

“ท่านล้อข้าเล่น?”

 

“ข้าเคยล้อเล่นหรือ แต่ข้าอยากถามความเห็นของเจ้าต่างหาก” ถางเจียฉีไม่ได้แสดงอาการลังเลแม้แต่น้อยที่จะกระทำการดังกล่าว หากเป็นจางหมิงเสียเองที่ลังเล

 

มันไม่ได้ลังเลกับการแลกเปลี่ยนพลังจากชีวิตผู้อื่น แต่มันลังเลกับผลลัพธ์ที่จะตามมามากกว่า

 

“ท่านอาจจะหวังดีจริง แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ต้องทำมากขนาดนี้โดยไม่หวังผลอะไร”

 

“ผลที่ข้าหวังไว้นั้นย่อมมี และข้ารู้ว่าเล่ห์เหลี่ยมกลโกงไม่อาจหลอกลวงเจ้าได้ง่ายนักจึงไม่ได้คิดปิดบังวัตถุประสงค์หลักที่ต้องการให้เจ้าเติบโตขึ้นมามีพลังที่แข็งแกร่ง หลังจากที่เจ้ากลืนกินลูกแก้ววิญญาณพวกนั้นไปก็คงรู้แล้วว่ามันช่วยเพิ่มระดับพลังได้”

 

“และข้อเสียของมันทำให้ข้าไม่สามารถฝึกฝนปราณได้อย่างปกติ นั่นไม่นับว่าเป็นข้อดีเสียเท่าไหร่”

 

“ข้อเสียเพียงเล็กน้อยเพื่อแลกมากับพลังอันง่ายดาย นั่นยังไม่นับว่าดีหรอกหรือ การบ่มเพาะพลังนั้นใช้เวลานานเกินไป แต่เพียงลูกแก้ววิญญาณขนาดเล็กไม่กี่ลูกกลับทำให้เจ้าสามารถเข้าถึงขั้นกลางระดับสามในเวลาไม่กี่เดือน ต่างจากผู้อื่นไม่รู้เท่าไหร่” มันยังคงเสนอว่าการทำตามที่มันบอกย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

 

“ผู้คนกล่าวกันว่าเจ้าเป็นศิษย์พี่ที่ดีเยี่ยมได้อย่างไรกันนะ” จางหมิงไม่รู้ว่าทำไมนิสัยเห็นแก่ตัวอย่างโจ่งแจ้งของมันถึงไม่ถูกผู้อื่นพบเห็นบ้าง

 

“ข้าก็ไม่ได้เป็นคนไม่ดีจริงๆนี่”

 

จบประโยคนั้นจางหมิงทำได้เพียงส่ายศีรษะไปมาอย่างอ่อนใจ ด้วยอายุของมันแล้วการไปทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ใช่ว่าจะดี และมันเรียนรู้ที่จะยอมรับความจริงอันเลวร้ายของสันดานมนุษย์มานานแล้ว

 

“เช่นนั้นข้าขอถาม” จางหมิงหันไปมองอีกฝ่ายตรงๆ

 

“ได้สิ”

 

“หากข้ากินวิญญาณมนุษย์เข้าไปอะไรในตัวข้าจะเปลี่ยนแปลง”

 

“เห... ทำไมจึงคิดว่าตัวเจ้าจะเปลี่ยนไปเล่า ไม่เลย... ตัวเจ้าจะไม่เปลี่ยนไป หากเจ้าจะกลายเป็นเจ้าจริงๆ” น้ำเสียงนั้นดูจะตื่นเต้นกว่าปกติก่อนจะกลายเป็นเอื่อยเฉื่อยในท้ายเสียงตามเดิม

 

แล้วที่มันเป็นอยู่นั้นไม่ใช่ตัวมันจริงๆหรืออย่างไร

 

จางหมิงไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้เก็บมาคิดให้มากความ มันพอจะมองออกว่าถางเจียฉีไม่ได้โกหกหากแต่หวังอะไรบางอย่างที่มันก็ไม่อาจรู้ หากว่าตัวมันไม่เปลี่ยนไปจริงอย่างที่ว่า นั่นก็น่าสนใจอยู่เหมือนกัน

 

อา... จางหมิงก็ไม่ใช่คนดีที่ต้องห่วงชีวิตคนอื่นมากกว่าตัวเองเสียด้วย

 

“ก็ได้ หากว่าหลิงหลิงยอมกินคนน่ะนะ” จางหมิงพูดพร้อมกับหันไปมองจิ้งจอกน้อยที่ดูจะมองสัตว์อสูรเสือดาวนั้นตาเป็นประกาย

 

“ข้าจะกินเจ้าตัวนั้น” แต่จิ้งจอกน้อยไม่ได้ให้ความร่วมมือเสียเท่าไหร่ ความเอาแต่ใจนี้ก็นับได้ว่าเกิดจากอิทธิพลของจางหมิงล้วนๆ ไม่ว่าจากการเลียนแบบหรือการถูกตามใจมากไปก็ตาม

 

“หลิงหลิงว่ามาแบบนั้น” จางหมิงหันไปพูดกับถางเจียฉีพร้อมกันยักไหล่น้อยๆอย่างไม่แยแส

 

“เจ้าไม่ควรตามใจสัตว์ปีศาจของตนเองมากไป”

 

“เพราะท่านอยู่ตำหนักปีศาจจึงได้คิดจะสอนข้าเช่นนั้นหรือ” จางหมิงไม่ค่อยพอใจนัก เพราะหากมันจะสอนจิ้งจอกน้อยของมันให้เป็นเช่นไรนั่นก็เป็นเรื่องที่มันตัดสินใจได้เอง การมีผู้อื่นคิดจะมายุ่มย่ามก็เหมือนกับหยิบสมบัติให้ผู้อื่นลูบคลำและนั่นอาจจะนำมาซึ่งรอยตำหนิ หากจะว่ามันตามใจจิ้งจอกน้อยเกินไปแล้วอย่างไร หากมันต้องการจริงๆมีหรือจิ้งจอกน้อยจะไม่ทำตาม

 

“อา... ขอโทษที จะอย่างไรนั่นก็ไม่ใช่ธุระของข้าจริงๆล่ะนะ หากแต่จิ้งจอกน้อยของเจ้าจำเป็นในการหลอมแกนวิญญาณให้เป็นลูกแก้ววิญญาณ”

 

“เรื่องนั้นศิษย์พี่ไม่ต้องเป็นห่วงไป”

 

ตอนนี้ศิษย์ตำหนักตะวันตกทั้งสี่คนเหลือเพียงหนึ่ง มันพยายามหลบหนีโดยไม่สนใจเพื่อนพ้องที่กำลังนอนอยู่บนพื้น แม้จะมีคนตายอยู่บ้าง หากนั่นก็ไม่ได้แปลว่าใช่ทั้งหมด แต่ความเร็วของเสือดาวที่กลายพันธุ์ย่อมไม่ด้อย พวกมันจึงพัวพันกันไม่เลิกรา และก่อนที่ศิษย์ตำหนักตะวันตกจะหันมาเห็นพวกมัน

 

“พวกท่านช่วยข้าด้วย!” ยังไม่ทันที่จะจบคำพูดดีมันก็ต้องหน้าถอดสีเมื่อเห็นจิ้งจอกสีทองพุ่งตรงเข้ามาอีก

 

จิ้งจอกน้อยไม่ได้สนใจศิษย์ตำหนักตะวันตก มันกระโจนเข้าหาสัตว์อสูรที่อยู่ด้านหลังนั่นต่างหาก ดวงตาสีทองจ้องมองเหยื่ออันโอชะไม่ได้คลาดสายตา แต่ความเร็วของเสือดาวที่แม้จะกลายพันธุ์มาแล้วมีหรือจะสู้จิ้งจอกอัสนีสวรรค์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความรวดเร็วเป็นทุนเดิม

 

ศิษย์ตำหนักตะวันตกพุ่งตัวหลบจากวิถีล้มกลิ้งไปกับพื้นจนตัวเปื้อนไปด้วยฝุ่น สายตาของมันยังคงหวาดกลัวแต่เมื่อเห็นสัตว์สองตัวกำลังซัดกันนัวเนียจึงได้โล่งใจบ้าง

 

“จิ้งจอกน้อยของเจ้าใจร้อนไปเสียหน่อยนะ”

 

“มันยังเล็กนัก จะไปห้ามก็ดูเหมือนจะเป็นการแย่งของเล่นเด็กกระมัง”

 

เสียงของทั้งสองทำให้ศิษย์ตำหนักตะวันตกละสายตาจากการต่อสู้ตรงหน้าแล้วหันไปมอง เมื่อเห็นทั้งคู่กำลังเดินมาทางมันนั้นก็ยิ่งทำให้มันดีใจมากขึ้น

 

“ศิษย์พี่ทั้งสองโปรดช่วยข้าด้วย”

 

ประโยคนั้นไม่ได้เข้าหูจางหมิงเท่าไหร่ มันคอยสังเกตการณ์การต่อสู้ของจิ้งจอกน้อยอยู่ เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่ต้องการให้บาดเจ็บจนเกินไป ส่วนถางเจียฉีก็เพียงยิ้มตอบกลับเจ้าของเสียงขอความช่วยเหลือนั้นเช่นนิสัยปกติ

 

จิ้งจอกน้อยตัวเล็กกว่าคู่ต่อสู้เป็นเท่าตัวแต่นั่นก็ทำให้มันได้เปรียบ ด้วยตัวที่มีขนาดไม่ได้ใหญ่โตมันจึงพลิ้วตัวหลบกรงเล็บและการกัดที่เล็งเป้ามาที่มันอย่างโมโหได้อย่างไม่ยากเย็น อีกทั้งสามารถกัดฝ่ายตรงข้ามจนได้เลือดไปหลายแผล นั่นยังไม่นับร่องรอยของกรงเล็บที่กรีดเข้าไปในเนื้อจนแหวะหวะเป็นสีแดงฉานพร้อมเลือดข้นๆที่ทะลักออกมา

 

นอกจากฟันอันคมกริบ จางหมิงเพิ่งค้นพบว่าจิ้งจอกน้อยของมันยังมีกรงเล็บที่คมยิ่งกว่าใบมีดอีกด้วย

 

แต่ก็มีบางคราที่จิ้งจอกน้อยพลาดพลั้ง หากจางหมิงที่สังเกตอยู่ไม่ไกลก็ได้ส่งพลังปราณไปช่วยอย่างทันท่วงที

 

หากเทียบกันแล้วระหว่างจิ้งจอกน้อยกับศิษย์ตำหนักตะวันตก จิ้งจอกน้อยนั้นไม่ได้เก่งเท่ามันหากมีความรวดเร็วเป็นตัวแปรในการเอาชนะ

 

การมีความเร็วที่มากอาจชนะผู้มีพลังมากกว่าได้ด้วย...

 

จางหมิงกำลังคิดที่จะหาเวลาฝึกท่าเท้าพิสดารที่อยู่ในคัมภีร์มหาโจรของมันเมื่อได้ค้นพบวิธีการต่อสู้ในรูปแบบของจิ้งจอกน้อย

 

และแล้วไม่นานสัตว์อสูรเสือดาวก็ล้มลงโดยไม่ยินยอมพร้อมใจ

 

ก็ปล่อยให้จิ้งจอกน้อยกินอาหารของมันไป ภาพนั้นก็ไม่ได้น่าดูเท่าไหร่จางหมิงจึงได้หันกลับมายังศิษย์พี่ร่วมสำนักทั้งสองที่กำลังพูดคุยกัน

 

จางหมิงที่เดินไปถึงเห็นศิษย์ตำหนักตะวันตกขอตัวจากไปพอดี มันรีบวิ่งไปดูเพื่อนทั้งสามก่อนจะแบกคนหนึ่งที่ยังมีชีวิตแล้วทะยานจากไปอย่างรวดเร็ว มันที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์จึงหันไปมองถางเจียฉีเพื่อขอคำอธิบาย

 

“พวกมันมาที่นี่เพื่อล่าชิ้นส่วนสัตว์อสูรไปขายที่เขตเมือง แต่นั่นเป็นการผิดกฎสำนักที่นับว่าร้ายแรงมันจึงไม่ได้ขออนุญาตแล้วออกมาจากเขตตำหนักกันเองทั้งๆที่มีพลังปราณเพียงแค่ขั้นกลางซึ่งก็ผิดกฎของตำหนักตะวันตกอีกเช่นกัน”

 

“แล้ว?”

 

“ก็เป็นเช่นที่เจ้าเห็น พวกมันตายไปสอง อีกหนึ่งบาดเจ็บสาหัสต้องรีบนำไปรักษา ตัวข้าก็เป็นศิษย์พี่ที่ดีจึงอาสากำจัดศพที่เหลือให้” ถางเจียฉีชมตัวเองจนจางหมิงต้องหัวเราะในคอเฝื่อนๆด้วยอาการที่ไม่อาจยอมรับ

 

“มีคนตายไป สำนักไม่ตรวจสอบหรืออย่างไร” จางหมิงสงสัยในข้อนี้มาก อย่างน้อยอะไรคงไม่ง่ายดายปานนี้

 

“ไม่! นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้คนจึงอยากเป็นศิษย์สายในกันเหลือเกิน เมื่อเจ้าเป็นเพียงศิษย์สายนอกนั่นหมายถึงเจ้าเป็นเพียงหมากสำรองที่สำนักเก็บไว้ใกล้มือก็เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหรือตายไม่ได้มีผู้ใดสนใจ มันก็คล้ายๆกับเขตการปกครองตนเองที่ขึ้นตรงต่อกฎของสำนักอีกที แม้ไม่ใช่สถานที่ที่ดีนัก หากนั่นก็เป็นที่ที่ทำอะไรก็ได้โดยไม่ถูกสงสัยใดๆ”

 

“ข้อสุดท้ายนั้นคือเหตุผลที่ศิษย์พี่ไม่เข้าร่วมการทดสอบในปีที่ผ่านๆมาเช่นนั้นหรือ” จางหมิงถามออกไปและหวังว่ามันจะได้คำตอบที่จะแก้ไขปริศนาของคนผู้นี้

 

“เอ... ใช่หรือเปล่านะ” แต่ก็ดูการไขปริศนาจะไม่ง่ายดายปานนั้น

 

ตุบ!

 

จิ้งจอกน้อยกระโดดเข้ามายืนข้างกายจางหมิงเช่นเคยเมื่อได้กินจนหนำใจ แต่ก็ใช่ว่ามันจะอิ่ม ปากที่มีฟันแหลมคมนั้นจึงงับลงไปบนมือของจางหมิงแล้วออกแรงลาก การที่มันไม่ได้เลือดจากกรกระทำแบบนั้นก็เป็นอันรู้กันดีว่าเพราะจิ้งจอกน้อยปรารถนาให้เป็น หาไม่มือนี้ก็คงขาดครึ่งตั้งแต่การงับครั้งแรก

 

“รอก่อน ข้ายังไม่เสร็จธุระ”

 

จิ้งจอกน้อยครางหงิงแต่ก็ยอมปล่อยแต่โดยดี

 

จางหมิงค่อนข้างแน่ใจว่าจิ้งจอกน้อยของมันไม่กินมนุษย์ เพราะมันไม่ได้มองร่างไร้ชีวิตที่เริ่มเย็นชืดทั้งสองบนพื้นเลยแม้แต่น้อย มันจึงได้หันไปขอความเห็นจางศิษย์พี่ผู้มากความลับตรงหน้า

 

“ข้าคิดว่าท่านคงรู้แล้วว่าข้าจะถามถึงสิ่งใด”

 

“ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะรู้ถึงเรื่องนั้น เอาเถอะ... จิ้งจอกอัสนีสวรรค์นั้นกินทุกอย่างเพื่อเพิ่มความสามารถของมันเอง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใดๆและไม่เว้นแม้แต่มนุษย์ หรือกลืนกินกระทั่งสิ่งไม่มีชีวิตที่มีพลังในตนเอง แต่ด้วยสายเลือดเพียงครึ่งจิ้งจอกน้อยของเจ้าคงไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ดูเหมือนอิทธิพลจากสายเลือดจิ้งจอกมายาจะมากไปเสียหน่อย

 

...ก็นะ จิ้งจอกมามาไม่กินมนุษย์ ออกจะเกลียดเสียด้วยซ้ำ”

 

จางหมิงมองจิ้งจอกน้อยที่จ้องกลับมาด้วยดวงตาใสแจ๋ว แม้มันจะบังคับให้กลืนกินเพื่อมันได้ แต่เห็นแบบนี้ก็ไม่ได้อยากฝืนใจเหมือนกัน

 

“ไม่กินก็ไม่กิน ข้าไม่บังคับเจ้าหรอก” มันถอนหายใจก่อนจะเดินหันหลังให้ถางเจียฉีที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก

 

สำหรับถางเจียฉีที่มักจะปั้นหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลาก็มีแต่เพียงอยู่กับจางหมิงนี่แหละที่มันจะหลุดบ่อยเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ แต่ตอนนี้มันจำเป็นต้องให้จางหมิงได้รับพลังจากวิญญาณที่มากขึ้น เพราะหากไม่เข้าไปสู่ขอบเขตก่อนประตูปราณระดับสูงมันก็ไม่สามารถสร้างค่ายกลอีกครั้งได้ ความจริงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนมากนัก หากความเร่งรีบนี้เป็นความต้องการส่วนตัวของมันเอง

 

“รอเดี๋ยวศิษย์น้อง!”

 

จางหมิงไม่ได้หยุดตัวลงและยังคงก้าวเดินต่อไปถางเจียฉีจึงได้ทะยานไปขวางหน้าให้อีกฝ่ายรู้สึกหงุดหงิดใจเล่น

 

“ข้าจะไม่บังคับให้หลิงหลิงกินศพพวกนั้นหรอกนะ และข้าก็ไม่ได้อยากให้มันกินเท่าไหร่ด้วยสิ”

 

“ไม่ได้เป็นเช่นนั้น แม้ไม่อาจดูดซับแกนวิญญาณโดยสมบูรณ์แต่จิ้งจอกน้อยของเจ้าก็สามารถหล่อหลอมลูกแก้ววิญญาณได้”

 

“ท่านไม่ได้โกหกข้าหรอกนะ”

 

“ข้าไม่มีวันโกหกเจ้า” น้ำคำที่มั่นคงนั้นทำให้จางหมิงสนใจขึ้นมาจึงได้มองกลับไปที่จิ้งจอกน้อยอีกครั้ง และเหมือนมันจะรู้ว่าเจ้านายของมันต้องการอะไร

 

จิ้งจอกน้อยเดินเข้าไปใกล้ศพที่มีสภาพไม่สู้ดีทั้งสอง สายฟ้าปรากฏขึ้นรอบตัวมันก่อนจะก่อรูปเป็นค่ายกลอันกระจัดกระจายเต็มท้องฟ้า พลังนั้นกระตุ้นสัญชาตญาณของสัตว์ที่อยู่ใกล้ๆให้หวาดกลัวจนกระเจิงหนี

 

แสงสีทองสาดส่องไปทั่วจนต้องหรี่ตามอง นั่นมันงดงามราวกับพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ จางหมิงที่อยู่ใกล้รู้สึกถึงพลังกายที่ถดถอยลงจนต้องขมวดคิ้ว ดีที่ถางเจียฉีอยู่ใกล้ๆด้วยจึงกางเกราะปราณเข้าครอบคลุมรอบตัวของมันและศิษย์น้อง

 

“ข้าบอกแล้วว่าจิ้งจอกอัสนีสวรรค์กลืนกินทุกอย่าง นั่นรวมไปถึงชีวิตของสิ่งที่อยู่ใกล้ๆด้วย เช่นนั้นเจ้าควรหาเวลาทำให้จิ้งจอกน้อยตัวนั้นกลายเป็นสัตว์ปีศาจใต้อาณัติโดยสมบูรณ์ได้แล้ว” ถางเจียฉีเตือนไว้ก่อนจะเร่งพลังปราณของตนให้มากขึ้นเมื่อพลังนั้นมากกว่าที่คิดเอาไว้

 

เกราะปราณจากสีเขียวกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มแปลกตาทำให้จางหมิงเพ่งสำรวจลึกถึงตัวตนของอีกฝ่ายอีกครั้ง ซึ่งผู้ใช้พลังก็ได้แต่ยิ้มส่งกลับไปให้อย่างไม่ทุกข์ร้อนเช่นเคย

 

วิชายุทธ์ขั้นปราชญ์ที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมาตั้งแต่อดีตกาลแต่มันกลับพบเห็นอยู่ตรงหน้า จางหมิงเคยคาดเดาตัวตนอีกฝ่ายไว้มากมาย แต่เมื่อพบเห็นระดับวิชาในขั้นนี้ก็คงต้องลบความคิดเหล่านั้นทิ้งไป

 

“สนใจจิ้งจอกน้อยของเจ้าดีกว่าไหม เพราะเดี๋ยวเราต้องไปกันแล้ว”

 

จางหมิงเลิกคิ้วหมายจะถามกลับแต่อีกฝ่ายก็ได้ตอบกลับความสงสัยนั้นมาเสียก่อน

 

“เจ้าคงไม่คิดว่าพลังแบบนี้จะถูกสำนักมองข้ามกระมัง”

 

จางหมิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะพลังนี้แม้จะทำลายชีวิตของผู้ที่อยู่ใกล้ แต่นั่นก็นับเป็นอาวุธชั้นยอดที่ไม่อาจละทิ้งไป หากไม่ก็คงต้องกำจัดให้หมดสิ้น และนี่คงเป็นเหตุผลที่จิ้งจอกอัสนีสวรรค์ได้สูญพันธุ์ไป หรือตามความเป็นจริงแล้วก็อาจจะแค่หลบซ่อนตัวเพื่อไม่ให้ถูกล่า

 

สีทองที่งดงามตอนนี้เปลี่ยนกลับเป็นสีดำราวกับความมืดมิดในทันที ร่างบนพื้นทั้งสองค่อยๆเหี่ยวแห้งลงตามความเข้มขนของพลังงานในอากาศ ไม่นานก็สลายกลายเป็นฝุ่นไม่เว้นแม้กระทั่งเสื้อผ้า

 

นั่นช่างเป็นการทำลายที่หมดจดจริงๆ

 

พลังสีดำในอากาศค่อยๆหลอมรวมกันข้างหน้าของจิ้งจอกน้อย เพียงไม่กี่อึดใจก็ควบแน่นกลายเป็นลูกแก้วสีดำขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งนิ้วได้

 

จิ้งจอกน้อยคาบมันไว้ในปากก่อนจะนำกลับมาหาจางหมิงในตอนที่ถางเจียฉีปลดเกราะปราณออกพอดี เมื่อรับลูกแก้วสีดำสนิทนั้นไว้จิ้งจอกน้อยก็เหมือนจะโงนเงนใกล้ล้มเต็มที

 

“มันเพียงใช้พลังมากไปเท่านั้น แต่เราจำเป็นต้องไปกันแล้ว มีพลังปราณของคนกลุ่มหนึ่งกำลังมาทางนี้”

 

ยังไม่ทันที่จางหมิงจะได้เข้าใจอะไรมากขึ้น ทั้งมันและจิ้งจอกน้อยก็ถูกสายลมหอบพัดแล้วกระชากออกไปจากจุดที่ยืนอยู่ทันที ก่อนที่จะรู้สึกตัวอีกครั้งในสองสามอึดใจต่อมามันก็มายืนอยู่หน้าห้องของมันที่ตำหนักใต้แล้ว

 

ความเร็วนี้...

 

ที่ทำได้ก็แค่เพียงแอบทึ่งในใจเท่านั้น

 

จิ้งจอกน้อยที่อ่อนเพลียครางหงิงทำให้จางหมิงพามันกลับเข้าไปพัก และติดตามมาด้วยถางเจียฉีที่นำพวกมันมา รอยยิ้มนั้นยังคงประดับหน้าและเหมือนจะกว้างยิ่งกว่าเดิม

 

“เจ้าลองกินดูสิ”

 

จางหมิงมองผู้พูด มองจิ้งจอกน้อยที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะมองลูกแก้ววิญญาณในมือ กลิ่นหอมที่มันเคยได้กลิ่นกลับรุนแรงมากขึ้นจากลูกแก้ววิญญาณนี้ ราวกับเป็นอาหารอันโอชะที่เพียงแค่มองก็อยากรีบกลืนมันลงไป จางหมิงกัดริมฝีปากตนเองอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ทนความกระหายในตัวที่เรียกร้องไม่ได้แล้วกลืนมันลงคอ

 

+++

 

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด