ตอนที่แล้วตอนที่ 7 ดอกหญ้าโลหิตปีศาจ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 9 เชิงยุทธ์

ตอนที่ 8 พี่ชาย


8

 

“ลูกหมิง เจ้าฝึกไปถึงไหนแล้ว” วันหนึ่งจู่ๆกลางโต๊ะอาหารจางหลีไห่ก็ถามขึ้นมา

 

จางหมิงแทบสำลักกับคำถามนั้น จะว่าอย่างไรดีหนอ เมื่อผ่านไปกว่าเดือนพลังปราณมันขยับไปจากเดิมเพียงเล็กน้อย ทั้งๆที่บิดาและมารดามันก็ส่งเม็ดยามาให้ตั้งมากมายแล้วแท้ๆ

 

ขั้นต่ำระดับสองช่วงต้น อืม... น้อยจริงๆนั่นล่ะ

 

“ข้านั้นไร้สามารถจริงๆท่านพ่อ” มันตอบพร้อมกับส่ายหน้า บิดามันก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ

 

เม็ดยาสำหรับมันคืออะไรล่ะ!

 

เม็ดยารักษาต่างๆล้วนมีราคาเหมาะสมอยู่ แต่กับเม็ดยาลมปราณนั้นช่างมีราคาแพงยิ่งนัก เมื่อเป็นเช่นนั้นไหนเลยมันจะกล้ายัดลงคอตัวเอง เสียของๆ ช่างเป็นอะไรที่เสียของจริงๆ

 

กล่าวกันว่าพลังปราณเพิ่มได้จากเม็ดยาก็จริง แต่อีกนัยหนึ่งก็สามารถเพิ่มขึ้นได้จากการบ่มเพาะด้วยตนเองเช่นกัน เม็ดยาก็เปรียบกับสมบัติหากนับตามราคากว่าเม็ดละสิบทอง เอาเป็นว่ามันถึงขั้นเก็บไว้กับตัวอย่างดี

 

จางหลีไห่นั้นอยู่ในขั้นมนุษย์ระดับสองระหว่าต้นกับปลายพอดี หากมันจะตรวจสอบพลังของบุตรชายก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ช่วงหลังดูแล้วบุตรชายของมันดูจะหวงแหนความเป็นส่วนตัวของตนเองมาก ดังนั้นมันจึงออกปากถามแทน แม้ว่าตรวจสอบไปอีกฝ่ายจะไม่รู้ก็ตามที

 

“เจ้าอยู่ขั้นไหนแล้วตอนนี้” น้ำเสียงของจางหลีไห่ยังคงราบเรียบเช่นเคย

 

“อ่า... ขั้นต่ำระดับสองขอรับ”

 

“ถือว่าความสามารถในการสกัดกลั่นตัวยาของเจ้าช่างน้อยไปจริงๆนั่นล่ะ” บิดามันกล่าวเบาๆแต่หาได้ตำหนิ ความใจดีนี้ทำเอาจางหมิงรู้สึกผิดนิดๆ แต่ก็แค่นิดเดียวแล้วสลัดมันทิ้งไป

 

“หมิงเอ๋อเจ้าอย่าได้เสียใจไปเลย แม้พลังปราณจะเป็นตัวกำหนดความสามารถของผู้ฝึกยุทธ์แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมด หากเจ้ารู้จักพลิกแพลงและขยันฝึกวิชายุทธ์เจ้าย่อมเก่งกาจเช่นเดียวกับผู้อื่น” จางไท่อิงที่นั่งฟังพูดปลอบอีกทีเมื่อเห็นว่าบุตรชายเงียบไป

 

“ข้าเข้าใจท่านแม่ ข้าเพียงสงสัยว่าข้าต้องเก่งกาจไปเพื่ออะไร”

 

“เจ้าอย่าได้พูดเช่นนั้น! ความสามารถคือทุกสิ่ง ไม่ว่าเจ้าเลวทรามเพียงใดหากมีความสามารถก็ยังคงเป็นที่ยกย่อง หากวันข้างหน้าเจ้าไม่รู้จักฝึกฝนย่อมต้องอยู่ใต้เท้าผู้อื่น ในโลกใบนี้อย่างน้อยต้องมีความสามารถในระดับสูงขึ้นไปจึงจะสามารถเชิดหน้าชูตาตนเองได้อย่างภาคภูมิ หาไม่แล้วหากโดนปล้นชิงหรือเข่นฆ่าก็ไม่สามารถปกป้องตนเองได้ นั่นไม่ใช่ต้องเสียใจไปตลอดชีวิตหรือ” จางหลีไห่พูดเสียงดังอย่างใส่อารมณ์ จางไท่อิงที่อยู่ด้านข้างพยายามลูบแขนเบาๆให้อีกฝ่ายเย็นลง

 

จางหมิงไม่ได้ใส่ใจคำพูดในช่วงแรกเท่าไหร่นัก หากแต่เมื่อได้ยินว่ามีคนอาจขโมยของจากมันนั่นทำให้จิตใจถูกกระตุ้นเตือน

 

“ข้าเข้าใจแล้วท่านพ่อ! ต่อไปนี้ข้าจะฝึกหนักยิ่งขึ้น” มันกล่าวรับคำอย่างมั่นใจ

 

“ดี ดี” บิดามันพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อบุตรชายดูจะจริงจังขึ้นมา

 

ข้าต้องเก่งขึ้นเพื่อสมบัติของข้า!

 

จางหมิงก็ยังคงเป็นจางหมิงอยู่วันยังค่ำ...

 

 

 

 

 

เคล็ดมีดสลักวิญญาณนั้นช่างยากเย็นยิ่ง มันมีทั้งหมดหกขั้น อย่าไปพูดถึงขั้นอื่นๆเลย ตอนนี้ขั้นแรกก็ทำมันก็หมุนเสียแล้ว ไม่รู้ว่ามันคิดถูกหรือผิดกันแน่ที่เลือกวิชานี้มา

 

กวัดแกว่งฟ้า สกัดจุดตาย เฉือนภายใน ทะลวงปราณ กรีดชีวิต และไร้ร่องรอย มันคือทั้งหกขั้นของวิชาเคล็ดมีดสลักวิญญาณ แต่ความจริงแล้วมันยังมีขั้นที่เจ็ด สลักวิญญาณ ซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายที่ตำราได้กล่าวไว้ หากแต่เนื้อหาไม่ได้มีอยู่ในตำราที่มันนำมา

 

สกัดจุดตายและขั้นหลังๆก็ปล่อยมันไปก่อน ตอนนี้กวัดแกว่งฟ้าก็ทำมือไม้มันปั่นป่วนได้แล้ว วิชานี้ขั้นแรกว่าด้วยความเร็วในการจู่โจมแต่ด้วยร่างกายตอนนี้ของจางหมิงมีหรือจะสามารถ ช่วงนี้คนทั้งตระกูลเพียงเห็นมันวิ่งเช้าเย็นอย่างจริงจังเท่านั้น

 

ตำราที่มันนำมาพร้อมกับเคล็ดมีดยังคงกองไว้ใต้หมอนเนื่องจากความรู้มันยังไม่เพียงพอต่อการตีความ แต่ตำราอีกสามเล่มที่มันนำออกมาพร้อมกันดูง่ายกว่าไปถนัดตาหากเทียบกันแล้ว ดังนั้นเมื่อร่างกายไม่พร้อมวิชาท่าร่างทั้งสองจึงตัดออกไปก่อน วิชาตัวเบาอีกเล่มก็เป็นทางเลือกที่ดีทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำมาผสมกับวิชาตีนแมวของมัน

 

และแล้วก็ผ่านไปอีกสามอาทิตย์

 

“นายน้อยขอรับ” เสียงเรียกของจางซิ่งดังออกมาจากหน้าประตูขณะที่จางหมิงกำลังบ่มเพาะพลังโดยการเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง

 

สิ่งที่มันค้นพบช่างดียิ่ง เมื่อมันรู้ว่าตนเองไม่ต้องทำสมาธิกับการบ่มเพาะก็แทบอยากจะลุกขึ้นมาตะโกนลั่นหากไม่ติดว่าจะเป็นที่สงสัยเสียก่อน แล้วมันก็มักจะนั่งเหม่อลอยบ่อยๆเมื่อเริ่มเบื่อ

 

“มีอะไรหรือพี่ซิ่ง”

 

“นายใหญ่ให้มาตามขอรับ”

 

“ตาม?”

 

“ขอรับ ตอนนี้นายน้อยจางอี้เหลียนเดินทางกลับมาแล้ว ขณะนี้อยู่อาคารใหญ่ นายใหญ่จึงได้ให้ข้ามาแจ้งเนื่องจากมีเหตุให้ต้องพูดคุยกับท่านทั้งสองขอรับ” จางซิ่งอธิบายอย่างพินอบพิเทาเช่นเดิม แต่สายตานั้นกลับวาววับราวกับกำลังตื่นเต้นอยู่

 

จางอี้เหลียนคือบุตรชายคนรองของผู้นำตระกูลจางหรือก็คือพี่ชายของมัน สืบสาวได้ความจากจางซิ่งว่านิสัยใจคอของคนผู้นี้ล้วนแล้วราวกับมารดามันยิ่ง จะอย่างไรก็ดี มันต้องพิสูจน์ด้วยตนเองสักครา

 

“ลูกหมิงคารวะท่านพ่อท่านแม่” มันกล่าวคำต่อบิดาแต่สายตาจดจ้องไปยังพี่ชายของมัน

 

คนผู้นี้อายุราวสิบเจ็ดปี ดูสุภาพเรียบร้อยและยังยิ้มให้มันอย่างเป็นมิตร สายตาเอื้ออารีหากมีประกายแปลกๆวาบผ่านภายในเพียงชั่วครู่ แต่มีหรือมันที่อยู่กับพวกปลิ้นปล้อนเยี่ยงพวกโจรมานานจะจับไม่ได้

 

พี่ชายคนนี้ดูจะไม่ได้จริงตามสิ่งที่แสดงออกมา...

 

“มาแล้วหรือหมิงเอ๋อ นี่พี่ชายของเจ้า จางอี้เหลียน พี่เจ้ารีบเร่งเดินทางมาจากสำนักพยัคฆ์อัคคีเพราะห่วงเจ้าโดยแท้” จางไท่อิงยิ้มรับกับบุตรชายในดวงใจทั้งสอง

 

“น้องเล็กคงจำข้าไม่ได้หรอกท่านแม่ จดหมายที่ท่านส่งไปเล่าถึงอาการป่วยของน้องชายว่าอย่างไรข้ายังจำได้ดี แต่ไม่เป็นไร ต่อไปนี้ข้าจะดูแลเขาให้ดียิ่งขึ้น” จางอี้เหลียนยิ้มให้มันราวกับว่าเป็นห่วงจริงจัง แต่ไม่ได้ไปถึงแววตาเอาเสียเลย

 

“เจ้าไปถึงระดับกลางขั้นเจ็ดได้เร็วเช่นนี้นับว่าเก่งกาจกว่าข้าเมื่อก่อนนัก” จางหลีไห่เอ่ยชม

 

“ขอบคุณท่าพ่อที่กล่าวชม หากแต่น่าละอายนักเมื่อเทียบกับศิษย์คนอื่นๆข้ายังนับว่าอ่อนด้อย”

 

“อย่าได้ถ่อมตนไปเหลียนเอ๋อ หากระดับศิษย์สายในที่อายุก่อนยี่สิบแบบเจ้าเรียกว่าอ่อนด้อยแล้วจะมีคนเก่งกาจอยู่อีกเช่นนั้นหรือ” จางไท่อิงยิ้มอย่างภูมิใจพลางลูบแขนบุตรชายคนรองเบาๆอย่างรักใคร่

 

“ท่าผู้นำขอรับ!”

 

“มีอะไร” เสียงข้ารับใช้กระวีกระวาดมาแต่ไกลทำให้ผู้ถูกเรียกขมวดคิ้วน้อยๆ

 

“นายน้อยขอรับ นายน้อยจางอี้ห้าวกลับมาแล้วขอรับ” เสียงของข้ารับใช้ดูจะตื่นเต้นมากจริงๆ

 

จางหมิงรู้ว่าจางอี้ห้าวคือพี่ชายคนโตของมัน แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดผู้คนถึงได้ดีใจกันจนลนลานแบบนั้นเมื่ออีกฝ่ายเพียงแค่กลับมาเยี่ยมบ้านของตนเอง

 

“ไปพาห้าวเอ๋อมาเร็ว” จางไท่อิงรีบกล่าว

 

จางหมิงสังเกตว่าทุกคนมีท่าทีตื่นเต้นดีใจแต่พี่รองของมันจางอี้เหลียนกลับขมวดคิ้วครู่หนึ่งแล้วหันไปยิ้มตามเดิม เหมือนว่ามันจะเห็นเค้าลางของความแตกแยกภายในเล็กๆนั่นแล้ว

 

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังมาตามทางเดินห่างไกลพร้อมกับเสียงคุยกันที่ดังออกมาเป็นระยะทำให้จางหมิงแปลกใจไม่น้อย ก่อนที่ไม่นานนักเจ้าของเสียงดังกังวานนั้นจะปรากฏออกมาให้เห็น

 

หากว่าจางอี้เหลียนนั้นสุภาพเรียบร้อยดูเป็นผู้สูงศักดิ์ตระกูลดี จางอี้ห้าวกลับเหมือนนักรบอันแข็งแกร่งเข้มแข็งน่าเคารพ มองย้อนมาดูตัวมันที่เป็นเพียงเด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มด้วยวัยก็อยากจะกลับไปอยู่ร่างเดิมจริงๆ

 

“คารวะท่านพ่อท่านแม่” จางอี้เหลียนโค้งคำนับ น้ำเสียงก็ยังคงก้องทุ้มจนชวนให้รู้สึกฮึกเหิมเช่นเคย รอยยิ้มที่วาดผ่านใบหน้าไปยังคนรอบห้องและตัวมันดูจริงใจอย่างยิ่ง ไม่เจือแววสับสนอื่นๆให้ได้เห็นแม้แต่น้อย ความมั่นใจของกริยาท่าทางราวกับเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำของคนรอบข้างอย่างแท้จริง

 

จางหมิงแทบจะผิวปากหวือให้กับความเพียบพร้อมของบุคคลผู้นี้ถ้าไม่ติดว่าเสียมารยาทล่ะก็นะ

 

“ฮ่าๆๆ มาก็ดีแล้วลูกห้าว วันนี้ครอบครัวพร้อมหน้าช่างดียิ่งนัก” จางหลีไห่ที่ปกติมักเย็นชายังอดยิ้มแย้มอารมณ์ดีไม่ได้

 

“มาๆนั่งลงเถอะทุกคน นี่ก็ใกล้จะเที่ยงวันแล้วมากินข้าวกันพร้อมหน้าเถอะ” สตรีนางเดียวเอ่ยแทรกด้วยร่องรอยความสุขเต็มใบหน้า

 

อาหารวันนี้เต็มเป็นด้วยของคาวหวานมากมายจนจางหมิงที่เจออาหารรสชาติแปลกใหม่หลายอย่างแน่นท้องไปหมด บรรยากาศบนโต๊ะก็ดูเป็นครอบครัวสุขสันต์ดีจนมันแทบลืมไปแล้วว่ารอยแยกเล็กๆภายในครอบครัวนั้นมีอยู่

 

“ดูเหมือนเจ้าจะเก่งกาจขึ้นไม่น้อยเลยอี้เหลียน” จางอี้ห้าวทักน้องชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างอารมณ์ดี

 

“แต่ก็ไม่อาจเท่ากับท่านพี่จริงๆ” จางอี้เหลียนทำหน้าสลดลงอย่างสมจริง

 

จางหมิงที่อยู่ใกล้กับทั้งสองคนแทบจะอดยิ้มไม่ได้ ไม่ใช่ยิ้มยินดีกับภาพครอบครัวรักใครนี่หรอก มันยิ้มให้กับความหลอกลวงบนภาพลวงตาที่แสดงออกมาพวกนี้ต่างหาก นั่นทำให้มันนึกถึงเวลาพูดคุยกับสมุนทั้งหลายของมัน

 

“ว่าแต่เจ้าอยู่ระดับไหนแล้วหรือลูกห้าว พ่อไม่อาจตรวจสอบเจ้าได้แล้ว”

 

“ข้าอยู่ระดับสูงขั้นห้าช่วงปลายแล้วท่านพ่อ อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ขั้นที่หก” คำพูดฉะฉานอย่างมั่นใจของเจ้าตัวอดที่จะทำให้จางหมิงรู้สึกแปลกๆไม่ได้

 

พี่น้องสองคนนี้ต่างกันมากทีเดียว

 

คนน้องก็ถ่อมตนจนเกินพอดี คนพี่ก็มั่นใจในตัวเองมากเกินพอดีเช่นกัน แล้วมันล่ะต้องเป็นแบบไหน

 

เกิดเป็นจางหมิงนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ

 

“เจ้าช่างก้าวหน้ายิ่งนักลูกห้าว ไม่นานเจ้าต้องได้เป็นศิษย์หลักในเร็ววันนี้แน่” จางหลีไห่เอื้อมมือไปตบไหล่บุตรชายด้วยความภาคภูมิใจ

 

“ข้าก็หวังเช่นนั้นท่าพ่อ ว่าแต่ว่าหมิงเอ๋อของเราฝึกพลังปราณได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” จางอี้ห้าวหันมาพูดกับมันบ้าง

 

“ไม่นานมานี้เองขอรับท่านพี่”

 

“ก็ดีๆ เจ้าแข็งแรงขึ้นข้าก็เบาใจ วันหน้าหากเจ้าได้เข้าร่วมสำนักวิหคนภาของข้านั่นก็ย่อมดียิ่ง”

 

“ไม่ได้หรอกห้าวเอ๋อ” มารดามันขัดขึ้น

 

“ทำไมหรือท่านแม่ แม้น้องชายข้าจะเพิ่งเริ่มฝึกฝนช้าเกินไปเสียหน่อยแต่มันก็เป็นคนตระกูลจาง ข้าเชื่อว่าหากฝึกฝนต่อไปจะต้องเก่งกาจขึ้นแน่”

 

“มารดาเจ้ามิได้เป็นห่วงว่าน้องเจ้าจะไม่สามารถเข้าสำนักวิหคนภาได้หรอก หากแต่ลูกหมิงมีพิษติดกายอยู่มารดาเจ้าจึงอยากให้เขาเข้าสำนักพยัคฆ์อัคคีของลูกเหลียนแทน อย่างน้อยที่นั่นก็เด่นในเรื่องของการปรุงยาอยู่บ้าง” จางหลีไห่พูดขึ้นเมื่อเห็นบุตรชายไม่เข้าใจเจตนา

 

“อินทรีย์สวรรค์จะไม่ดีกว่าหรือท่านพ่อหากต้องการศึกษาศาสตร์แห่งการปรุงยา”

 

“แล้วใครจะคอยดูแลน้องเจ้าเล่า อย่างน้อยที่พยัคฆ์อัคคีก็มีลูกเหลียนอยู่” จางหลีไห่ยังยืนยันคำเดิม

 

พี่ชายคนโตของมันตอนนี้ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม บุคคลเก่งกาจย่อมไม่ใช่คนโง่ จางหมิงรู้สึกว่าจางอี้ห้าวคงจะรู้ว่าจางอี้เหลียนนิสัยใจคอจริงๆเป็นเช่นไร

 

“ข้าไม่เป็นไรท่านพี่” มันบอกออกไป สายตาจับจ้องซึ่งกันอย่างรู้ความหมาย แม้จะมีความแปลกใจบนใบหน้าของจางอี้ห้าวบ้างแต่มันก็ยิ้มตอบกลับมาอย่างพอใจ

 

“เรามาลองทดสอบเชิงยุทธ์ของน้องเล็กดูไหมท่านพ่อ” จางอี้เหลียนที่เงียบไปนานจู่ๆก็พูดขึ้นมา

 

คนพูดไม่ได้มองหน้ามันถามความเห็นด้วยซ้ำแต่กลับหันไปขออนุญาตบิดามันแทน ตัวมันและพี่ชายคนโตถึงกับขมวดคิ้วพร้อมกันอย่างช่วยไม่ได้

 

“ก็ดี เรียกจางซิ่งมาให้ข้า” แล้วบิดามันก็ยังรับคำอีกต่างหาก

 

“ขอรับ” ข้ารับใช้คนที่ใกล้ที่สุดกล่าวคำก่อนจะหันตัวออกไป

 

ทุกคนจึงพากันไปยังลานประลองที่อยู่ข้างหอตำรา บิดามารดามันเดินไปก่อนรั้งท้ายด้วยบุตรชายทั้งสาม พอพ้นสายตาของพ่อแม่จางอี้เหลียนหันมาเหยียดยิ้มเยาะใส่มันครั้งหนึ่งแล้วเดินลิ่วๆตามบิดาไป

 

“ท่านพ่อรับคำไปแล้วก็ตามนั้นเถอะ สู้เขาก็แล้วกัน” จางอี้ห้าวยิ้มให้กำลังใจ แต่จะดีกว่ามากหากไม่นำมือมาวางบนหัวมันแล้วโยกไปมา

 

มันอายุมาตั้งเท่าไหร่แล้ว! จางอี้ห้าวเพิ่งจะยี่สิบปี!

 

เด็กนรก!

 

+++

แมว : ต่อไปจะลงตอนเย็นน้า หรือไม่ก็ดึกหน่อย

 

*แถม พิเศษ

 

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด