ตอนที่แล้วตอนที่ 4 คนเปลี่ยน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 6 ระดับขั้น

ตอนที่ 5 เปิดปราณ


5

 

“ลมหายใจของคนเรามีสองแบบ หนึ่งคือลมหายใจแห่งชีวิต และสองคือลมหายใจแห่งจิตวิญญาณ นายน้อยจำเป็นต้องฝึกพื้นฐานลมหายใจแห่งชีวิตเสียก่อนมิเช่นนั้นก็ไม่อาจฝึกฝนลมหายใจแห่งจิตวิญญาณได้” จางซิ่งอธิบาย ตอนนี้มันได้รับหน้าที่ให้ฝึกพื้นฐานแก่นายน้อยของมัน

 

“มันต่างกันอย่างไร”

 

“ลมหายใจแห่งชีวิตคือการฝึกฝนร่างกายและรูปแบบกำลังภายในจากภายในร่างตนเอง ซึ่งเราสามารถควบคุมมันได้อย่างหมดจดหากฝึกฝนอย่างเพียงพอ ทำให้สามารถเหาะเหินได้สั้นๆ อีกทั้งสามารถยืดอายุไขได้บ้าง ส่วนลมหายใจแห่งจิตวิญญาณคือการฝึกฝนการดึงพลังภายนอกมาเป็นกำลังภายในของตนเอง หากสามารถทำได้ ไม่ใช่แค่อายุไขที่ยืดยาวออกไป หากแต่สามารเหาะเหินเดินอากาศได้ตามใจนึก

 

ไม่ว่าจะอย่างไรการฝึกลมหายใจแห่งจิตวิญญาณนั้นทำได้ยากมาก ทั่วทั้งมหานครมังกรครามที่ครอบคลุมเจ็ดเมืองห้าสำนักก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำได้ นั่นคือหัวหน้าองครักษ์ของท่านเจ้าเมือง ความสามารของผู้ที่ฝึกได้นั้น...”

 

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ อะไรที่ฝึกได้ก็ฝึกไปก่อน ข้าไม่เรื่องมาก” จางหมิงยักไหล่น้อยๆพร้อมกับเอ่ยตัดบทที่ดูจะยืดยาวหาสาระได้ยากนั่นไป

 

มันไม่ได้หวังอะไรเกินตัวขนาดนั้น จะมีหรือคนที่จะเก่งโดยไม่ฝึกฝน อย่างน้อยๆก็ต้องผ่านอะไรมามากมายกว่าจะไปถึงขั้นนั้น หากแม้นมีพร้อมทั้งทรัพยากรและพรสวรรค์นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

 

“...เอ่อ ถ้าเช่นนั้นมาพูดถึงเรื่องลมหายใจแห่งชีวิตกันต่อ

 

การฝึกนี้แบ่งออกเป็นสองรูปแบบเช่นกัน นั่นคือวิชายุทธ์และวิชากำลังภายในซึ่งต้องฝึกฝนควบคู่กันไป หากกำลังภายในสูงนั่นหมายถึงวิชายุทธ์จะทรงประสิทธิภาพไปด้วย กลับกัน หากกำลังภายในมีเพียงน้อยนิดแม้วิชายุทธ์ที่ใช้จะทรงประสิทธิภาพปานใดก็ใช้ออกมาได้ไม่ถึงครึ่ง กำลังภายในนั้น...”

 

“บอกวิธีฝึกเสียที! ข้าไม่ได้โง่ขนาดที่จะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร” จางหมิงตัดบทอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเริ่มจะสาวความข้อดีข้อเสียของมันต่อไป

 

มันกำลังคิดว่าเด็กน้อยจางซิ่งผู้นี้ช่างไม่รู้จักการรวบรัดตัดความเอาเสียเลย

 

จางซิ่งได้แต่ปาดเหงื่อที่ไหล่ลงมาจากขมับ นายน้อยของมันนั้นภายนอกออกจะดูเรียบร้อยแท้ๆ แต่พอมาใกล้ชิดจริงๆถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายเอาแต่ใจขนาดไหน

 

“วิชายุทธ์ทั้งหมดเก็บรวบรวมไว้บนอาคารกลาง เมื่อนายน้อยสามารถเริ่มต้นกำลังภายในได้แล้วข้าจะพาท่านไป นั่นคือคำสั่งของนายใหญ่อีกที” จางซิ่งรีบพูดในประโยคหลังๆเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะแย้ง

 

“...อืม”

 

“ส่วนวิชากำลังภายในนั้นไม่มีเป็นลายลักษณ์อักษร เนื่องจากแต่ละผู้คนเส้นพลังจะไม่เหมือนกันหากก็มีวิธีฝึกที่บอกต่อกันมา นั่นจึงเป็นเหตุให้ชาวบ้านทั่วไปไม่อาจได้รู้”

 

“แล้ว?” จางหมิงเริ่มเอนหลังกับเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน

 

“เริ่มแรกสัมผัสพลังจากปลายนิ้วโคจรสู่ไหล่ทั้งสองข้าง กระดูกไหปลาร้ารับหน้าที่รับน้ำหนักพลังเริ่มต้นจึงเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ทะลวงไปสู่กระดูกสันหลังข้อแรกที่เป็นต้นกำเนิดชีวิต ...”

 

อา... ช่างเยิ่นเย้อยืดยาวยิ่งนัก หลังจากนั้นมันก็เคลิ้มหลับไป

 

“... สุดท้ายหลอมรวมลมปราณเข้าสู่ท้องน้อยก่อนจะโคจรไปทั่วร่างอีกครั้ง หากสำเร็จพลังภายในจะโคจรไปทั่วให้รู้สึกได้ชัดเจน” จางซิ่งอธิบายนานกว่าครึ่งชั่วโมงด้วยความมั่นใจพลางเหลือบมองนายน้อยที่พริ้มตาหลับอย่างมีความสุข

 

“จบแล้วหรือ” แต่จู่ๆจางหมิงก็ลืมตาขึ้นมา

 

“อะ ขอรับ” มันรับคำงงๆ

 

“ถ้ารับรู้ถึงพลังได้ข้าจะได้ฝึกวิชายุทธ์ในอาคารกลางอย่างนั้นใช่ไหม”

 

“ขอรับ หากแต่จะต้องจดจำวิธีการโคจรพลังก่อนแล้วค่อยทำตามอย่างช้าๆ นั่นอาจกินเวลาหลายวันเลยทีเดียว ครั้งแรกข้าคิดว่าท่านนอนหลับไปไม่ได้ฟัง ข้ารู้สึกละอายยิ่งนัก”

 

จางหมิงแอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ความรู้สึกกระอักกระอ่วนตีวนในท้องไปมา ความจริงแล้วมันก็หลับจริงๆนั่นแหละ หากแต่ความรู้สึกไวพอที่จะตื่นเมื่อมีอะไรแปลกไปก็เท่านั้น

 

“เช่นนั้นข้าน้อยจะไม่ขอรบกวน ขอให้นายน้อยฝึกสำเร็จในเร็ววัน ขอตัวขอรับ” จางซิ่งโค้งคำนับก่อนจะออกไปจากห้อง ทิ้งไว้แต่คนฝึกที่นั่งมองประตูที่ปิดลง

 

ขณะใกล้เคลิ้มหลับตัวจางหมิงนั้นรู้เพียงแค่ว่าการฝึกเริ่มต้นจากแขนไปที่ไหล่ จากนั้นก็...อะไรอีกนะ อ่อ แล้วก็กระจายไปทั่วตัวเข้าสู่ท้องน้อย

 

คำอธิบายเพียงรอบเดียว ตัวมันไม่ใช่บัณฑิตแล้วมันจะจำเรื่องยุ่งยากแบบนั้นได้อย่างไร ถึงจะมีคนจำได้แต่ก็ไม่ใช่มันแน่ๆ ความจริงแล้วมันว่าไม่ใช่ว่าชาวบ้านไม่รู้จึงไม่อาจฝึกหรอก คำพูดปากต่อปากมันเผยแพร่ได้ง่ายกว่าสิ่งที่ลงไว้ในตำราเสียอีก ทุกคนก็คงเหมือนกัน วิธีฝึกมันยืดยาวและวกวนเกินกว่าจะจดจำไปทำตามไหวต่างหาก

 

ยังไงดีล่ะทีนี้

 

กำลังภายในเหมือนกัน อย่างน้อยๆวิธีการฝึกของอาจารย์มันก็คงได้ผล มันแค่ประโยคไม่ยาวมากที่เมื่อก่อนมันไม่ได้เข้าใจ แต่พอผ่านไปก็ทำความเข้าใจได้บ้าง แต่นั่นก็น่าจะพอแล้ว

 

‘จำคำอาจารย์ไว้ พลังภายในดังน้ำเลี้ยงชีวิต การโคจรพลังดังการส่งอาหารให้ร่างกาย เมื่อกินก็อยู่ในท้อง เมื่อใช้ก็อยู่ในตัวเอง เมื่อรับเข้ามามันก็ไม่จากไปไหน ทุกคนรู้สึกได้ถึงมันแต่ไม่รู้ตัว ก็แค่เปิดใจและรับรู้ถึงการคงอยู่ก็พอ’

 

นั่นไม่ใช่เคล็ดวิชาหากแต่เป็นความเข้าใจ และมันก็เข้าใจว่าต้องรับรู้ถึงมัน

 

รับรู้... อืม แค่นั้นแหละ

 

มันเคยเรียนหนังสือเป็นชิ้นเป็นอันที่ไหนกัน อาจารย์สอนให้มันอ่านออกเขียนได้นี่ก็ที่สุดแล้ว ความรู้บางอย่างก็ได้มาจากประสบการณ์ทั้งนั้น แล้วก็รู้เรื่องสมุนไพรกับการรักษาบ้างแต่ก็ไม่มากพอจะเรียกว่าเก่งกาจ ความรู้มากไปก็ใช่ว่าจะได้ใช้ ดูอย่างมันที่เริ่มจับหลักพลังภายในได้เมื่อก่อนก็ตกเขาตายง่ายๆโดยไม่ได้ใช้ความรู้อะไรช่วยเลย

 

มันกำลังรู้สึกว่าตัวเองเหมือนตัวประกอบดาษๆบนหน้านิยายทั่วไป

 

จะอย่างไรก็ช่าง ทำได้แล้วก็ค่อยว่ากันอีกที

 

ภายในห้องของจางหมิงเงียบสนิท พระอาทิตย์ยังคงจ้าจัดในช่วงเกือบเที่ยงวัน ตัวมันนั่งอยู่บนเตียงทำสมาธิที่ออกจะง่อนแง่นไม่มั่นคงนัก บ้างขยุกขยิกตัวไปมา บ้างเกือบเคลิ้มหลับไป พลังหรืออะไรมันก็สัมผัสไม่ได้ทั้งนั้นแหละ รู้แค่ว่ากำลังรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมากก็เท่านั้น

 

จางหมิงถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ก่อนจะละความพยายามแล้วเดินออกจากห้อง มันพาตัวเองเดินเล่นภายในสวนใกล้ๆ เก๋งน้อยหลังงามที่อยู่ไม่ไกลคือจุดหมายพักเท้า สายลมเย็นๆปนแดดอุ่นๆที่ดูเหมือนว่าจะเข้าสู่ฤดูเหมันต์เข้าไปทุกทีทำให้สบายใจไม่น้อย และสิ่งที่มันทำก็เพียงแค่เหม่อมองฟ้าใต้เก๋งน้อยหลังนั้น

 

ความเรียบง่ายบนพื้นฐานของการอยู่ท่ามกลางธรรมชาตินั่นแหละคือการทำสมาธิที่ดีที่สุดของมัน ไม่ต้องเพ่งพิศจนปวดหัว ไม่ต้องทำความเข้าใจด้วยหลักเหตุผล แค่ปล่อยให้มันเป็นไป

 

แสงแดดเย็นเยียบ และสายลมร้อนลวกผิว

 

มันหายใจเฮือกเมื่อทุกสิ่งกลับตาลปัด แม้ตัวมันจะไม่ได้ฉลาดมากมายแต่ก็ไม่ได้โง่ พลังภายในของมันแปลก มันรับรู้ได้ถึงความไม่ปกติ

 

พลังที่ควรไหลไปทางเดียวกันระหว่างโคจรกลับมีอีกสายหนึ่งที่ทวนกลับ แต่มันก็รับรู้ได้แค่ช่วงเริ่มแรกเท่านั้น เพียงพริบตาทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ แสงแดดกลับมาอบอุ่นและสายลมเย็นสบาย มันรู้สึกถึงพลังภายในได้แล้วก่อนจะโคจรไปมาอยากไม่ติดขัด

 

เพียงไม่ถึงวันมันสามารถทำได้ ผู้อื่นอาจเรียกได้ว่าอัจฉริยะ แต่ของมันคงเรียกว่าโชคดีกระมัง

 

เหม่อลอยก็รับรู้พลัง เข้าใจการโคจรพลังหรือก็ไม่ หากไม่เรียกว่าโชคดีแล้วจะเป็นอย่างไรได้

 

จางหมิงยิ้มรับกับตัวเอง หลังเอนพิงเก๋งน้อยหลังงาม ในคอฮัมเพลงจากเมืองเก่าของตนในลำคอ การได้อะไรมาง่ายๆก็เหมือนกับการขโมยของมาจากคนโง่ นั่นทำให้มันรู้สึกดี

 

จู่ๆแดดจ้าจัดก็มืดลง ท้องฟ้ายามกลางวันกลายเป็นกลางคืนฉับพลัน คนรับใช้ที่เดินอยู่ไกลๆยังยิ้มร่าราวกับไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ความสบายใจสบายกายเมื่อครู่เปลี่ยนไป ตัวมันสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม ลมหายใจติดขัดจนต้องกุมอกตัวเองไว้แน่น กระดูกทุกข้อต่อร้าวระบบราวกับจะแตกหัก อวัยวะภายในรู้สึกเหมือนมีเข็มนับพันหมื่นเล่มทิ่มแทงลงไป สติเริ่มพร่าเบลอแม้มันกัดกรามแน่นข่มตนเองก็ไม่สามารถต้านทานไหว ก่อนจะล้มลงพื้นหมดสติไป

 

ตุบ!

 

ร่างสูงใหญ่ของจางหลีไห่ร่อนลงมาข้างบุตรชายก่อนจะทาบมือบนหน้าผากที่ชื้นเหงื่อ สัญลักษณ์แปลกประหลาดไหลวนจากปลายนิ้วเข้าสู่บุตรชายของมัน ร่างที่ขมวดคิ้วด้วยความทรมานยามหมดสติคลายลงก่อนที่ผู้เป็นบิดาจะยกร่างบุตรชายขึ้นแล้วทะยานร่างไปสู่ห้องนอนของจางหมิงเอง

 

‘ท่านพ่อ ข้านั้นจะทำเช่นไรดี บุตรชายคนนี้ก่อนนั้นอ่อนแอนัก สายเลือดที่เข้มข้นเกินไปในตัวจึงควรหลับใหลไปตลอดกาลข้าจึงได้ละความกังวล แต่ตอนนี้มันสามารถแม้กระทั่งเปิดลมปราณของตนเอง สายเลือดที่สืบทอดน่าหวั่นว่าจะปรากฏขึ้นมาเสียจริงๆ’ ภายนอกที่ดูเย็นชาของผู้เป็นบิดาช่างขัดกับภายในที่กระวนกระวายอย่างยิ่ง

 

จางหลีไห่นึกไปถึงเรื่องเล่าของบิดาและเหตุผลที่มาตั้งรกรากที่นี่ แม้หนีมาไกลแสนไกล บางสิ่งก็มิอาจปิดบังซ่อนเร้น อย่างน้อยผนึกที่มันทำไว้ก็คงอยู่ได้อีกพักใหญ่

 

“ท่านพี่” มือเรียวแตะลงบนท่อนแขนแข็งแรงอย่างปลอบประโลม มารดาอย่างเธอก็รู้สึกได้ถึงความผิดปติจึงได้ติดตามมา พลังภายในของเธอแม้ไม่มากขนาดสัมผัสรู้ในสิ่งผิดแปลกแต่ด้วยสัญชาตญาณของมารดาจึงไม่อาจนิ่งเฉย

 

“ข้างต้องทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าดี” จางหลีไห่เอ่ยถาม

 

“ข้าจะส่งเขาไป”

 

“ไท่อิง!” มันตกใจเมื่อภรรยาพูดในสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้

 

“เราไม่อาจช่วยเขาได้ตลอดไป ข้ากังวลว่าวันหนึ่งดวงตะวันของเขาจะมืดดับไปชั่วนิรันดร์ แต่ศิษย์พี่ของข้าอาจช่วยเขาได้ ไม่มีใครเก่งกาจเรื่องตราผนึกเท่าเขาอีกแล้ว” น้ำเสียงสั่นเครือและสายตาที่หวั่นไหวของจางไท่อิงทำให้รู้ว่าเธอพยายามทำให้ตัวเองไม่รั้งบุตรชายไว้ข้างกาย

 

ทั้งสองจับมือกันแน่น จางหลีไห่พยักหน้าตกลงพร้อมกับถอนหายใจ

 

“ข้าจะติดต่อไปยังสำนักพยัคฆ์อัคคีเดี๋ยวนี้”

 

“ไม่ต้องหรอกไท่อิง แจ้งไปให้ผู้อาวุโสรับรู้ไว้ก็พอ การคัดเลือกให้ลูกเราทำด้วยตนเอง” จางหลีไห่รั้งไว้

 

“แต่...”

 

“ลูกของเรา ข้าเชื่อว่าเก่งพอจะทำได้ อย่างน้อยๆมันก็เป็นอัจฉริยะผู้หนึ่งที่สามารถเปิดปราณได้ภายในวันเดียว” ผู้เป็นบิดากล่าวอย่างมั่นใจ จางไท่อิงจึงเหลือบมองบุตรชายที่นอนอยู่ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

 

และตอนนี้อัจฉริยะที่ว่ากำลังฝัน มันกำลังจัดขบวนบุกปล้นชาวบ้านอยู่

 

‘หึหึ ข้านี่อัจฉริยะจริงๆ แม้พลังภายในจะโชคดีได้มา แต่เรื่องวางแผนตลบหลังชาวบ้านนี่ไม่มีใครเกินข้าแน่นอน!’

 

+++

แมว : ปล่อยป๊าม๊าเครียดไป ส่วนหมิงน้อยใสๆ (ยิ้ม)

 

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด