ตอนที่แล้วตอนที่ 14 -- ร้านแผงลอย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 16 -- ทดลอง

ตอนที่ 15 -- ไทม์สแควร์


ตอนที่ 15 -- ไทม์สแควร์

 

“ฉันก็มีอาวุธอยู่หรอกนะ แต่ฉันอยากสร้างอาวุธ, มากพอที่จะเปิดร้านขายอาวุธเป็นของตัวเอง แต่ตอนนี้ฉันยังมีเงินไม่พอน่ะ ดังนั้นฉันเลยต้องมาฝึกเป็นแม่ค้าด้วยการช่วยพ่อขายอาวุธไปก่อน, อ้อ ยังไงก็ตาม ฉันชื่อไลเดีย”

 

“งั้นหรอ….. ราคาตลาด…..”

 

ในตอนที่ผมจมอยู่ในห้วงความคิด ไลเดียก็เริ่มพูดอีกครั้ง

 

“อึก, ผมไม่รู้แม้แต่ราคาตลาด, แล้วผมจะขายของพวกนี้ยังไง….”

 

“ฉันรู้ราคา, ราคาที่สมเหตุสมผลสำหรับไอเทมของเธอ”

 

จริงดิ?! ผมแสดงสีหน้าตกใจให้ไลเดียเห็น

 

“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเห็นไอเทมพวกนี้, พวกนี้เทียบได้กับของที่นักผจญภัยใช้แล้ว”

 

ผมก็พอจะรู้มาว่าของพวกนี้ไม่ใช่ของหายาก แต่….

 

“โอ้ว แต่นี่มันสุดยอดไปเลยไม่ใช่หรอ? การมีของพวกนี้ในวัยแค่นี้น่ะ”

 

เด็กสาวที่ชื่อไลเดียคนนี้น่าจะต้องการพูดให้ดูเป็นมิตร แต่เธอกำลังเลือกผมเป็นเป้าหมาย…

 

บางทีเธออาจจะซื้อไอเทมทั้งหมดในราคาถูก ในเมื่อผมไม่รู้ราคาตลาด

 

แต่ผมไม่มีเวลาแล้ว

 

มันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ถ้าผมยังพอได้กำไรอยู่บ้าง แม้ว่ามันจะน้อยนิดก็ตาม

 

“ไลเดีย ผมไม่ชอบอะไรที่มันอ้อมค้อม ดังนั้นผมไม่ว่าอะไรหากเธอจะข้ามเรื่องหยอกล้อนี้นะ, พูดตรงๆผมต้องการน้ำยาฟื้นพลังเวทย์จำนวนมาก และผมต้องการของพวกนั้นในกระเป๋าเวทย์มนต์ แลกกับสื่อกลางระดับสูงที่ใช้ในการร่ายเวทย์ ‘วิญญาณ’ ที่ผมมีอยู่ คิดว่าไง?”

 

กระเป๋าเวทย์มนต์คือกระเป๋าใบเล็กๆที่ถูกเสริมเวทย์เข้าไป ดังนั้นมันจึงสามารถบรรจุไอเทมจำนวนมากได้แม้ว่าจะเกินขนาดของมันก็ตาม

 

มันถือเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ดีที่สุดของสมาคมจอมเวทย์ โดยพื้นที่เก็บของภายในสามารถขยายขนาดได้ตามพลังเวทย์ของเจ้าของ

 

ในความเป็นจริง มันเป็นไปไม่ได้ที่ใครๆจะเป็นเจ้าของ

 

แม้ว่าเส้นมนตราของเจ้าของจะยังไม่เปิด และไม่มีพลังเวทย์ก็ตาม แต่เจ้าของก็สามารถใช้พื้นที่ที่แน่นอนได้จำนวนหนึ่ง ดังนั้นมันจึงถือเป็นของจำเป็นสำหรับนักผจญภัย

 

“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ, เธอเป็นเด็กที่ดีจัง, เธอพูดเรื่องน่าสนใจออกมารู้ตัวไหม~ ?”

 

“ผมกำลังรีบ”

 

“นี่ นั่นถือเป็นการเจรจาที่แย่มาก, ไม่คิดว่าเธอจะรู้สึกแย่หรือถ้าฉันพูดแบบนั้นบ้าง?”

 

“ผมสามารถพูดได้เพราะผมเป็นเด็กยังไงล่ะ”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า, มันยากมากที่จะหาคนซื่อสัตย์ได้แบบเธอ”

 

ในตอนที่พูด เธอก็ลุกขึ้นค้นรถเข็นตัวเองจนทั่ว *กุกกักกุกกัก*

 

“ฉันมีกระเป๋าที่มีพื้นที่น้อย แต่มันบรรจุของฟื้นพลังเวทย์อยู่พอสมควร”

 

อืม…. ผมคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปมองมิลลี่ที่กำลังทำสีหน้าตลกๆตอนนอน

 

ผมจำเป็นต้องกอบโกยให้ได้มากที่สุดก่อนที่ผมจะแพ้

 

“แหวนวงนั้นกับกระเป๋าเวทย์มนต์ที่มีของฟื้นพลังเวทย์อยู่เต็ม ผมให้สื่อกลางเธอได้ห้าสิบชุด”

 

แหวนวงนั้นมีการเสริมเวทย์ที่ทำให้พละกำลังของผู้สวมใส่เพิ่มขึ้น

 

มันถือเป็นของแพง แต่สำหรับกระเป๋าที่ใส่ของฟื้นพลังเวทย์ มันก็ไม่เลวที่จะแลกกับสื่อกลางห้าสิบชุด

 

ยังไงก็ตาม สื่อกลางไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับคนที่มีพลังเวทย์อย่างผม

 

“ฟังดูเข้าท่านี่”

 

“การเจรจาเรียบร้อย”

 

กระเป๋าและของฟื้นฟูถูกนำออกจากรถเข็น หลังจากที่ผมนำสื่อกลางออกมา ผมก็ใส่สื่อกลางลงไปห้าสิบชุดในกระเป๋าแล้วยื่นให้เธอ

 

ช่าย นั่นแหละ

 

ไลเดียเองก็ยื่นแหวนมาให้ผม

 

“ขอบคุณ เธอช่วยผมไว้”

 

“นายรู้ไหมว่าตัวเองตกเป็นเป้าได้ง่าย?”

 

“ผมไม่สนใจหรอก”

 

ในขณะที่ยิ้มยิงฟัน ไลเดียก็เริ่มหัวเราะตอบผมกลับมา

 

เธอทำหน้าเหมือนถูกพิษและยื่นมือออกมา

 

“เช่นกัน ถือเป็นการเจรจาที่ดี, นี่ นามบัตรของฉัน มันบอกที่ตั้งร้านอาวุธของพ่อฉัน แวะมาเยี่ยมกันบ้างนะ”

 

“อา ตกลง”

 

ผมจับมือเธอในตอนที่พูด

 

เธอเดินจากไปพร้อมกับลากรถเข็นด้วยเสียงกรอกแกรก

 

มันไม่มีเหตุผลที่จะต้องลากรถเข็นในเมื่อสามารถยัดทุกอย่างลงในกระเป๋าเวทย์มนต์ได้

 

ผมมักจะสงสัยว่าทำไมเธอถึงได้ทำแบบนั้นกัน

 

เอาล่ะ อีกไม่นานพวกเราก็จะได้ปิดร้านแล้ว

 

ผมพยายามขายเครื่องประดับที่เหลือให้กับคนต่อไป

 

เมื่อผมเขย่าปลุกมิลลี่ เธอก็ทำหน้าบูดบึ้งพร้อมกับขยี้ตา

 

เหมือนกับเมื่อเช้านี้ บางทีเธอคงจะขี้เซาล่ะมั้ง

 

เพื่อที่จะได้เข้าใจในตลาดให้มากขึ้น พวกผมจึงเดินไปรอบๆพร้อมกับเปรียบเทียบราคาของกับในอนาคต ซึ่งของทุกอย่างในตอนนี้มีราคาถูกกว่ามาก

 

มันก็มีการเจรจาเหมือนกับก่อนหน้านี้ ยังมีคนจำนวนมากที่เหมือนกับไลเดียซึ่งต้องการจะแลกเปลี่ยน, แม้ว่าผมจะเจ็บตัวไปเล็กน้อย แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร ความเป็นจริงแล้วคนที่ผมแลกเปลี่ยนด้วยต่างหากที่รู้สึกแย่

 

พวกเขาบอกที่ตั้งร้านของตนเอง บางทีคงเป็นการโฆษณาร้านด้วยก็ได้

 

มันคงได้เวลาไปจากตลาดแล้วตอนนี้

 

หลังจากที่ผมเติมเต็มเป้าหมายสำหรับวันนี้ มันก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว

 

ผมต้องรีบกลับบ้านก่อนที่จะมืด

 

“กลับบ้านกันเถอะ, มิลลี่”

 

เมื่อผมหันกลับไปมองแล้วพูดแบบนั้น ตาของเธอได้แนบติดกับหน้าต่างของร้านค้าที่มีตุ๊กตาจัดแสดงอยู่

 

จริงสินะ, เธอเองก็เป็นเด็ก

 

ผมถอนหายใจ แล้วจูงมือมิลลี่พยายามพาเดินออกไปนอกเมือง

 

ตอนนี้พวกเราจะต้องวิ่งเต็มฝีเท้า ตั้งแต่ที่มิลลี่สามารถใช้เทเลพอร์ตได้ด้วยตัวเอง นั้นแสดงว่าเธอตื่นอย่างเต็มที่แล้ว

 

-ระหว่างการเดินทางกลับ อีกเพียงนิดเดียวก่อนจะถึงนานามิ

 

บลูเซลได้ปรากฎตัวขึ้นมาในขอบเขตการมองเห็นของผม

 

อืมม ผมอยากจะทดลองอะไรสักอย่าง……

 

ในตอนที่ผมหยุดเทเลพอร์ต มิลลี่เองก็หยุดด้วยเหมือนกัน

 

“เป็นอะไรหรอ เซฟ?”

 

“ผมอยากจะทดลองอะไรสักหน่อย เธอกลับไปก่อนได้เลย”

 

“ชั้นชักจะรู้สึกกังวลเมื่อนายพูดอะไรแบบนั้นออกมา ชั้นอยากจะดูด้วยคน!”

 

“ตามสบาย”

 

เมื่อผมพูดถึงการทดลอง ผมหมายถึงผมอยากจะทดลองหาปริมาณพลังเวทย์ที่จำเป็นต้องใช้เมื่อมีราชาแห่งความตายเป็นคู่ต่อสู้

 

เช่น ถ้าคุณจำเวทย์เดินทางข้ามเวลา ‘ไทม์ลีป’ ของผมได้ ผมได้ทำการทดลองมากมายว่าต้องใช้พลังเวทย์มากเท่าไหร่

 

ไม่สิ มันเหมือนกับการทำให้เวลาถอยหลังมากกว่าการข้ามเวลา

 

ตัวเวทย์ไทม์ลีป ต่อให้ตอนที่มันยังไม่สมบูรณ์ มันก็ใช้พลังเวทย์ทั้งหมดของผมในตอนที่แก่แล้วในการร่าย ปริมาณพลังเวทย์ที่ใช้นั้นมหาศาลมาก

 

ความสงสัยของผมคือ ตัวผมในตอนนี้จะสามารถใช้มันได้หรือไม่ หากว่าผมสามารถใช้มันได้ล่ะก็ โอกาสที่เราจะล่าบอสได้สำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

 

ผมเข้าฌาณจนพลังเวทย์ฟื้นฟูจนเต็มแล้วเล็งเป้าไปที่บลูเซล

 

“ไทม์สแควร์!”

 

แล้ว…..

 

“เรดบลาสเตอร์!”

 

ผมเจาะทะลุบลูเซลด้วยลำแสงจนเป็นรูขนาดเท่าฝ่ามือ แต่มันไม่ได้จบลงแค่นั้น….

 

ลำแสงได้เพิ่มจำนวนขึ้นพร้อมกับเล็งไปที่บลูเซลทั้งหมด มันเจาะทะลุตัวบลูเซลพร้อมกับทำลายร่างจนสิ้น

 

แสงที่ทอออกมาได้หายไปเช่นเดียวกับร่างของบลูเซล หลงเหลือไว้เพียงความเย็นเยียบบนฝ่ามือของผม และอากาศก็เย็นลงเช่นกัน

 

สิ่งที่ยังคงอยู่คือเปลวควัน

 

“นั่น...นั่นมันสุดยอดไปเลย! เซฟ! นั่นมันอะไรน่ะ?! นายทำแบบนั้นได้ไง?!”

 

“....”

 

“ไม่คิดว่านายจะซ่อนเวทย์แบบนั้นเอาไว้นะเนี่ย, ทำไมนายไม่ใช้มันก่อนหน้านี้ล่ะ?!”

 

“....”

 

“....เซฟ?”

 

พลัก

 

พลังเวทย์ของผมถูกใช้จนถึงขีดสุดและร่างของผมก็ล้มลงอย่างแรง

 

“เซฟ!?”

 

มิลลี่วิ่งมาที่ผมซึ่งนอนอยู่บนพื้น

 

….สติของผมค่อยๆไกลออกไป

 

ไทม์สแควร์ เป็นเวทย์ที่ตัวผมในตอนแก่คิดขึ้นมาใช้

 

แต่ไม่คิดว่า ตัวผมได้พัฒนาขึ้น จนสามารถใช้มันได้แล้วตอนนี้

 

มิลลี่แบกผมไปส่งที่บ้านจากระยะทางที่เหลือ

 

==========

 

อุทิศให้คุณพ่อยุทธนา ศิริพัฒนานันทกูร

 

==========

 

ติดตามผลงานได้ที่ https://www.facebook.com/RachanTranslations/

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด