ตอนที่แล้วตอนที่ 281 ซุ่นเทียนจักรพรรดิแห่งจื่อเว่ย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 283 สนามพลังของเย่ว์หยาง

ตอนที่ 282 เข้ามิติหลุมดำพบนางพญานิทรา


เมื่อว่านฉีซิ่วหลิงเข้ามาในมิติประลอง เขารีบเรียกคัมภีร์แพลตตินัมของตนออกมาและกางโล่พลังทันที เขาปล่อยพลังปราณก่อกำเนิดและยกระดับพลังถึงขึ้นปราณก่อกำเนิดระดับ 3 และสูงขึ้นไปอีก

เมื่อเขาเตรียมพร้อมเสร็จสรรพและพยายามมองหาเย่ว์หยาง เขาก็ตระหนักว่าเจ้าเด็กนั่นหายไปแล้ว

นี่....นี่เป็นไปไม่ได้

ในมิติประลอง เขาสามารถหลบหนีไปได้โดยไม่คำนึงถึงกฎของมิติได้อย่างไร?

ตอนแรก ว่านฉีซิ่วหลิงคิดว่าเย่ว์หยางซ่อนตนเองอยู่ เขาเรียกอสูรทราย นามจ้าววายุ เป็นอสูรจำเพาะธาตุชั้นทองระดับ 8 มันไม่มีร่าง แต่พลังของมันพอที่จะทำลายได้ทั้งเมือง จุดอ่อนของมันก็คือน้ำ แต่ว่านฉีซิ่วหลิงพบว่าในมิติประลองนี้ มีแต่เพียงภูเขาไฟเล็กที่พบอยู่ตามพื้นแข็ง ไม่มีน้ำเลยแม้แต่น้อย พลังความร้อนจากภูเขาไฟยังจะช่วยให้อสูรทรายจ้าวพายุของเขาเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นเขาไม่ลังเลใจ เรียกมันออกมาจากคัมภีร์ ว่านฉีซิ่วหลิงมองหาที่ซ่อนตัวของเย่ว์หยาง

อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปหนึ่งนาที อสูรทรายก็ยังไม่สามารถหาเย่ว์หยางได้พบ แม้จะค้นหาทุกซอกทุกมุมในมิติประลองแล้วก็ตาม

ว่านฉีซิ่วหลิงสับสนไปหมด

ตามกฎมิติ ก่อนที่เขาจะฆ่าศัตรู เขาจะไม่สามารถจากไปได้ นี่ นี่ เหมือนกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ

ถ้าเขาไม่สามารถหาเย่ว์หยางพบและฆ่าเขาได้ เขามิติดอยู่ที่นี่ตลอดไปหรอกหรือ? ว่านฉีซิ่วหลิงรู้สึกกลัวขึ้นมาในหัวใจ เขาเกือบจะเป็นบ้าเพราะความกลัว

ตอนนี้ ถ้าพูดให้ถูก เย่ว์หยางยังไม่ได้ออกจากมิติประลอง

เขาเพียงแต่เข้าไปในที่ซึ่งว่านฉีซิ่วหลิงไม่คิดว่าเขาจะเข้าไปได้

มิติหลุมดำ!

เมื่อเย่ว์หยางเทเลพอร์ตเข้าไปในมิติประลอง เขารู้สึกว่าว่านฉีต้องมีกลยุทธอยู่ในแขนเสื้อเขาแน่ ดังนั้น เขาคิดว่าเขาจะเคลื่อนไหวให้ได้เปรียบก่อน เมื่อว่านฉีเรียกคัมภีร์อัญเชิญออกมาอย่างเห็นแก่ตัวและปลดปล่อยพลังปราณก่อกำเนิด

เย่ว์หยางหยดเลือดที่นิ้วลงบนสร้อยหยกดำ จากนั้นก็ถ่ายพลังปราณก่อกำเนิดของตนเข้าไปในหยกดำ ก่อนนั้น เขารู้สึกได้ว่าเขาสามารถเข้าไปในมิติหลุมดำได้อีกครั้งเพื่อไปพบนางพญาเฟ่ยเหวินหลี อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องยากที่จะทำเรื่องนี้ลับๆ ต่อหน้าสาวๆ ดังนั้นเย่ว์หยางจึงเข้าไปพบนางพญาเฟ่ยเหวินหลีทันทีที่เขาเข้ามาในมิติประลอง เพื่อปกปิดความลับนี้ไว้จากหญิงสาวที่เหลือ

สำหรับว่านฉีซิ่วหลิง เขาเป็นคนตายคนหนึ่งนานเท่าที่เย่ว์หยางกังวลถึง

เห็นได้ชัดว่า คนตายย่อมไม่มีเรื่องเล่า

ถ้าเป็นสนามประลองมรณะที่แท้จริง การกระทำของเย่ว์หยางอาจจะทำไม่สำเร็จก็ได้ แต่นี่คือสนามประลองมรณะที่อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าสร้างขึ้นมา เป็นมิติประลองที่เย่ว์หยางเคยใช้ทดสอบและฆ่ามังกรบินแม็กม่า เป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจของอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์

แม้ว่าจะเป็นเพียงครั้งที่สองที่เย่ว์หยางเข้าไปในมิติหลุมดำ แต่สภาพร่างกายของเย่ว์หยางมีความรุดหน้าอย่างใหญ่หลวงจากพลังปราณก่อกำเนิดของเขาและเพลิงอมฤต สามารถทนต่อแรงบดทำลายภายในมิติหลุมดำได้ เขารู้สึกได้เลือนรางว่าแรงทำลายชนิดนี้คล้ายกับพลังของวงจักรล้างโลก

แม้ว่าจะแตกต่างกัน แต่ก็มีผลคล้ายกัน เพียงแต่ว่ามิติหลุมดำมีพลังทำลายมากกว่า และมันทอดยาวไม่มีขอบเขต แตกต่างจากวงจักรล้างโลกซึ่งเป็นประเภทโจมตี เย่ว์หยางคิดว่าถ้าผนึกสำหรับมิติหลุมดำนี้เป็นอักษรรูนโบราณหรืออักษรรูนดึกดำบรรพ์ เขาก็จะสามารถสร้างมิติหลุมดำนี้ได้ด้วยตัวเขาเองเมื่อเขาเชี่ยวชาญความรู้อักษรรูน?

เขาอาจปล่อยนางพญาเฟ่ยเหวินหลีให้เป็นอิสระและใช้เป็นกับดักจัดการศัตรูที่ทรงพลังในอนาคตที่เข้ามาในหลุมดำ ทำให้พวกนั้นถูกจองจำเป็นนักโทษของเขาจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตของพวกเขา

กลายเป็นนักโทษในมิติหลุมดำ เป็นเรื่องที่กลัวแน่นอน

ไม่มีร่างหยาบ พวกเขาจะไม่มีโอกาสหลบหนี

แม้ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งอย่างนางพญาเฟ่ยเหวินหลีก็ยังต้องหลับมาหลายพันปีไม่สามารถออกมาได้ เห็นได้ชัดเจนว่านี่คือพลังที่มิติหลุมดำเป็น

ภายในส่วนลึกของมิติหลุมดำ หลังจากผ่านไปหนึ่งปีเต็ม ในที่สุดเย่ว์หยางก็เห็นนางพญาเฟ่ยเหวินหลีกำลังหลับอยู่ในโลงแก้วผลึก นางยังคงอยู่ในห้วงนิทราลึก หน้าของนางซีดขาว และพลังลดลงไปมาก สภาพของนางไม่ต่างจากเมื่อเย่ว์หยางจากนางมาเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา

เสี่ยวเหวินหลีลอยออกมาจากร่างเย่ว์หยางและปีนขึ้นไปอยู่บนโลงแก้วมองดูนางพญาเฟ่ยเหวินหลี ดวงตากลมโตของเธอมีน้ำตาคลอเบ้า

เย่ว์หยางลูบศีรษะน้อยของเธอและปลอบโยนว่า

“ไม่เป็นไรนะ แม่ของเจ้าจะต้องดีขึ้นจนได้”

“อืออ..”

เสี่ยวเหวินหลีพยักหน้าอย่างว่าง่าย เธอมีความคิดมากขึ้นเมื่อเทียบกับตอนที่เธอเกิด หลังจากอยู่และต่อสู้ร่วมกับเย่ว์หยางในช่วงเวลาหนึ่งปี เธอเติบโตเร็วขึ้นในแง่ของสติปัญญาและความเข้าใจ ตอนแรก นอกจากแค่เข้าใจทักษะรบต่อสู้ วิธีคิดของเธอไม่ต่างกับหนูน้อยเย่ว์ซวง อย่างไรก็ตามสภาพของเธอในปัจจุบันี้ฉลาดกว่าเย่ว์ปิงในตอนนี้เสียอีก แม้ว่าเธอยังไม่เรียนรู้วิธีพูด แต่ในเรื่องอารมณ์และความรู้สึก เธอไม่ได้แตกต่างจากมนุษย์ เธอก้าวข้ามระดับอสูรศักดิ์สิทธิ์มานานแล้ว มีอารมณ์และความรู้สึกเหมือนกับมนุษย์

เย่ว์หยางยังสับสนอยู่ว่าทำไมเธอถึงไม่ยกระดับกลายเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องลูกสาวที่รักของเขา เขารู้สึกว่าควรจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติที่แน่นอนดีกว่า ใครจะรู้ บางทีเสี่ยวเหวินหลีอาจจะเป็นอสูรในตำนานก็ได้ เพราะเธอครอบครองคัมภีร์อัญเชิญระดับเพชรมาตั้งแต่เกิด

หลังจากเชี่ยวชาญพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ขั้นที่ห้าแล้วและยังได้ทำความเข้าใจอักษรรูนสวรรค์และรูนโบราณส่วนหนึ่ง เขาเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่านางพญาเฟ่ยเหวินหลีจะดูดปราณก่อกำเนิดของเขาจนเหือดแห้ง

เย่ว์หยางกัดนิ้วของเขาและเขียนอักษรรูปโบราณว่า “แหล่งผุดปราณวิญญาณ” ลงบนโลงแก้วผลึก

จากนั้นเขาถ่ายพลังปราณก่อกำเนิดลงไปในวงเวทอักษรรูน.. มีแสงไฟกระพริบแปลบปลาบ ขณะที่ปราณก่อกำเนิดของเย่ว์หยางได้รับการหนุนส่งจากอักษรรูนโบราณ ไหลเข้าไปในโลงแก้วผลึกและในตัวของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีอย่างต่อเนื่อง

ในนาทีต่อมา ภายใต้อิทธิพลปราณก่อกำเนิดของเย่ว์หยาง สีผิวของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีดูดีขึ้นมาก

จากสีผิวขาวเผือด ตอนนี้แก้มของนางมีสีอมชมพู

นางตื่นขึ้นจากการหลับลึก เมื่อนางลืมตาขึ้นและเห็นเย่ว์หยางกับเสี่ยวเหวินหลี ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา บ่งบอกถึงอารมณ์ที่อยู่ข้างใน

นางไม่คำนึงถึงร่างกายที่อ่อนระโหยของนาง เปิดฝาโลงแก้วออกและกอดเสี่ยวเหวินหลีที่โถมตัวเข้าหาอ้อมอกนางทันที นางพญาเฟ่ยเหวินหลีจูบธิดาของนางอย่างรักใคร่ก่อนที่นางจะร่าเริงอุ้มเสี่ยวเหวินหลีไว้

“ลูกแม่โตขึ้นแล้ว, สวรรค์, นี่ข้าหลับไปกี่ปีกันแน่? สามปี หรือว่าห้าปี? คนดีของแม่ อย่าร้อง..ลูก! โอย.. ข้าปวดหัวจริงๆ เย่ว์หยางน้อย ข้าหลับไปนานเพียงใดกันแน่?”

“แค่ปีเดียว, นางพญา! ท่านหลับไปเพียงปีเดียว”

เย่ว์หยางทำเป็นแสดงความนับถือและสุภาพ

ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขาเปลือยกายอยู่ เขาคงมั่นใจมากยิ่งขึ้น แต่น่าเสียดายที่วัตถุทุกอย่างจะสลายไปหมดเมื่อเข้าสู่มิติหลุมดำ

นางพญาเฟ่ยเหวินหลีแสดงอาการความรู้สึกเหลือเชื่อในตอนแรก จากนั้นสีหน้านางก็เปลี่ยนเป็นปลาบปลื้มใจ

นางเอื้อมมือขาวราวหิมะทั้งหกข้างมากอดเย่ว์หยาง ก่อนที่นางจะจูบแก้มเขา

“เจ้าเป็นเด็กน่ารักจริงๆ ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าจะก้าวหน้าได้มากมายถึงเพียงนี้ภายในเวลาปีเดียว โอว..ขอข้าดูซิ ข้าไม่อยากเชื่อสายตาข้าเลยจริงๆ ความก้าวหน้าของเจ้าไม่น้อยเลยใช่ไหมนี่? เจ้าใช้วิธีฝึกฝนลับแบบใดกันแน่? โอไม่นะ, ข้าปวดหัว, โปรดมอบปราณก่อกำเนิดของเจ้าให้ข้าอีกสักครั้งได้ไหม? ขอบคุณ”

บางทีเพราะนางต้องการพลังปราณก่อกำเนิดของเย่ว์หยางอย่างเร่งด่วน นางพญาเฟ่ยเหวินหลีจึงจูบปากเย่ว์หยางโดยไม่สนใจเสี่ยวเหวินหลีที่กำลังดูอยู่ด้านข้าง

นางดูดกลืนปราณก่อกำเนิดเข้าในร่างนางผ่านทางปากเขา

ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเย่ว์หยางเชี่ยวชาญปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ระดับห้าแล้ว ปราณก่อกำเนิดของเขาอาจถูกนางดูดจนเหือดแห้งไปแล้วก็ได้

เป็นเรื่องน่าปลาบปลื้มและน่าพอใจควรแก่การจดจำสำหรับเย่ว์หยาง เขารู้สึกว่าร่างที่เย็นเฉียบของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีค่อยๆ อุ่นขึ้นภายใต้พลังปราณก่อกำเนิดของเขา และรู้สึกว่าร่างเสมือนของนางเริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดขึ้นช้าๆ แน่นอนว่าเพื่อรักษานางให้ได้เด็ดขาด เย่ว์หยางคิดว่าแค่นั้นคงยังไม่เพียงพอต่อให้เขาให้พลังปราณก่อกำเนิดแก่นางเป็นพันเท่าก็ตาม

ตอนนี้ เขาเพียงสำรองปราณก่อกำเนิดให้เท่าที่นางจำเป็นต้องใช้เร่งด่วนเท่านั้น

หลังจากจูบเย่ว์หยางนานสามนาทีเต็ม นางพญาเฟ่ยเหวินหลีก็ถอนปากออก รู้สึกสะดวกสบายและผ่อนคลายจนนางครางออกมา

เสียงของนางหวานและมีเสน่ห์ชโลมจิตวิญญาณยิ่งนัก

มากขนาดที่ว่าเย่ว์หยางถึงกับมีอาการตื่นตัวตามธรรมชาติของเพศชาย

เย่ว์หยางยังไม่ทันปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ก่อนที่เสี่ยวเหวินหลีจะเข้ามากอดคอเขา ปากของเธอเป็นเหมือนปลาหมึก พยายามเลียนแบบที่นางพญาเฟ่ยเหวินหลีทำก่อนหน้าหน้า เธอพยายามจุ๊บปากเย่ว์หยางไม่ลดละอยู่สองสามครั้ง เธอไม่รู้วิธีจูบ เธอเพียงรู้ว่าเอาริมฝีปากชนกันเพื่อแสดงความรัก

“พอแล้ว, พอ”

เย่ว์หยางรีบเอาใจลูกสาวของเขา โดยจูบที่หน้าผากเธอเบาๆ

“อา..”

พอแน่นอน เสี่ยวเหวินหลีมีความสุข รู้สึกว่าเธอเป็นที่รักของเย่ว์หยางมากกว่ามารดาของเธอ

“เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในรอบปีที่ผ่านมานี้ให้ข้าฟังหน่อยสิ!”

นางพญาเฟ่ยเหวินหลีอยากรู้เรื่องราวของเย่ว์หยางโดยเฉพาะ นางต้องการรู้จริงๆ ว่าเขาเป็นอยู่อย่างไรในรอบปีที่ผ่านมา

“เรื่องมันยาวมาก..”

แน่นอนว่า เย่ว์หยางไม่เล่าในรายละเอียดทั้งหมด เขาเลือกจุดหลักมาอธิบายให้นางพญาเฟ่ยเหวินหลีฟัง แม้กระนั้นเขาก็ยังจำเป็นต้องอธิบายเจาะจงถึงเรื่องหลักๆ ที่กระทำมาในช่วงหนึ่งปีโดยใช้เวลาถึงสามสิบนาที หลังจากนั้นเขาถามนางพญาเฟ่ยเหวินหลีเกี่ยวกับเรื่องอสูรศักดิ์สิทธิ์, อสูรในตำนาน, เผ่าปีศาจบูรพา, จื่อจุน..หนึ่งในโลกหล้า จักรพรรดิมังกรและพญาอินทรีปีกทองในตำนาน

แน่นอน เขายังถามเกี่ยวเรื่องอักษรรูนสวรรค์และรูนโบราณบางส่วนที่เขายังไม่เข้าใจด้วย

ในช่วงเวลาสั้นๆ เย่ว์หยางถามทุกคำถามกับนางพญาเฟ่ยเหวินหลีผู้หลับใหลมานานหมื่นปี เขารู้ว่าประสบการณ์หมื่นปีของนางจะนำมาซึ่งคำตอบที่ดีให้เขาได้ในที่สุด

นางพญาเฟ่ยเหวินหลีกอดเสี่ยวเหวินหลีขณะที่ตัวนางยังนั่งอยู่ในโลงแก้วผลึก

จากนั้นจากทำท่าขอให้เย่ว์หยางมานั่งข้างๆ นาง

นางเอื้อมมือลูบศีรษะเย่ว์หยางพลางหัวเราะ

“ลำบากเจ้าเสียแล้ว, เย่ว์หยางน้อย ข้าไม่ได้บอกเล่าให้เจ้าในครั้งก่อนมากพอ เจ้าผ่านอะไรๆ มามากเลยทีเดียว ตอนนี้ ตอนนี้ข้าจะพยายามเล่าทุกอย่างที่ข้ารู้ให้เจ้าฟัง บางทีมนุษย์และเผ่าพันธุ์อื่นๆ ก็ผ่านการเปลี่ยนแปลงมามากในรอบหมื่นปีมานี้ อย่างไรก็ตาม หมื่นปีที่แล้ว มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุด เกี่ยวกับเรื่องอสูรศักดิ์สิทธิ์ ตอนนั้นพวกมันยังมีอยู่มากมาย มีแม้แต่อสูรในตำนานอยู่เพียงกำมือ ถ้าเจ้าสามารถไปถึงหอทงเทียนในระดับสูงๆ เจ้าจะพบว่าพวกที่แข็งแกร่งไม่ได้มีแต่เพียงมนุษย์ อสูรอื่นๆ และรูปแบบชีวิตชนิดอื่นก็ยังคงแข็งแกร่งมาก เผ่าปีศาจบูรพาก็แข็งแกร่งมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว พวกเขาเป็นสาขาของเผ่าภูตบูรพา พวกเขาไล่ล่าตามหาอำนาจไม่ยอมลดละ ไม่สามารถหยุดความกระหายอำนาจได้ กล่าวกันว่าพวกเขากระทบกระทั่งกับเผ่าภูตบูรพาและถูกขับออกจากเผ่าพันธุ์ ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องราวจักรพรรดิมังกรมาก่อนเลย อาจเป็นกษัตริย์เผ่าปีศาจที่ครองบัลลังก์เมื่อข้ายังคงนอนหลับอยู่ สำหรับพญาอินทรีปีกทอง ตามตำนานกล่าวว่ามันเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ภูตบูรพาซึ่งมีพลังที่มิอาจพรรณนาได้ กล่าวกันว่าการดำรงคงอยู่ของมันยังยิ่งกว่าเทพสงครามเสียอีก อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงคำบอกเล่า ข้ายังไม่เคยเห็นเขาด้วยตนเอง ข้าคิดว่านอกจากเจ้าจะก้าวเข้าเขตแดนสวรรค์และอยู่ในระดับเหนือโลกได้ เจ้าจะยังไม่อาจเห็นมันได้”

“สำหรับอักษรรูน ข้ามีความรู้ไม่มากนัก ข้ารู้มาบ้างเล็กน้อย อักษรรูนสวรรค์เป็นอักษรรูนที่ใครๆ ก็ใช้กันได้ นี่ไม่รวมถึงอักษรรูนโบราณ ซึ่งมีความต้องการเพิ่มเป็นพิเศษ ดังนั้นอักษรรูนโบราณจึงไม่เหมาะกับทุกคน การที่คนอย่างเจ้าที่เหมาะสมจะใช้อักษรรูนโบราณได้ทุกชนิดนับเป็นเรื่องประหลาดโดยแท้ ไม่มีใครเหมือนกับเจ้าได้ อีกอย่าง เจ้าต้องรู้ไว้อย่างหนึ่งว่า อักษรรูนดึกดำบรรพ์เป็นอักษรเฉพาะไม่มีซ้ำกัน!”

นางพญาเฟ่ยเหวินหลีบอกความลับในความลับให้แก่เย่ว์หยาง

“ว่ายังไงนะ?”

เย่ว์หยางไม่เข้าใจ

“ข้าหมายถึงว่า เมื่อเจ้าครอบครองอักษรรูนดึกดำบรรพ์แล้ว อย่างนั้นก็จะไม่มีคนอื่นที่จะครอบครองอักษรรูนอย่างเดียวกันได้ มีอักษรรูนอยู่ในตรงกลางวงจักรล้างโลกของเจ้า ดังนั้นจะไม่มีใครอื่นที่สามารถครอบครองวงจักรล้างโลกที่เหมือนกับเจ้าได้ แม้ว่าพวกเขาจะสามารถมีวงจักรล้างโลกได้ แต่ก็จะไม่มีอักษรรูนดึกดำบรรพ์อยู่ตรงกลางวงจักร กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าเจ้าเห็นอักษรรูนดึกดำบรรพ์อื่นอีก จะเป็นเรื่องดีที่สุด หากว่าเจ้าคว้ามันมาเป็นของเจ้า ทั้งนี้เพราะอักษรรูนดึกดำบรรพ์ไม่เพียงแต่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่พวกมันยังเป็นของที่ไม่ซ้ำกับใคร มีอยู่เพียงชิ้นเดียวในโลกนี้ ด้วยอักษรรูนดึกดำบรรพ์ จะไม่มีใครสามารถครอบครองรูนดึกดำบรรพ์ที่ซ้ำกับเจ้า เว้นแต่มีบางคนชิงมันไปจากเจ้า”

คำพูดของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีทำให้เย่ว์หยางตื่นเต้น กับแนวคิดที่จะกลายเป็นนักฉกชิง

“อย่างนั้นก็ดีแล้ว”

เย่ว์หยางชอบของที่ไม่ซ้ำกันเป็นที่สุด

“มาพูดกันถึงเรื่องคัมภีร์อัญเชิญกันก่อน เจ้าย่อมต้องไม่รู้สาเหตุที่นักสู้ปราณก่อกำเนิดทุกคนไม่ติดตามค้นคว้าหาข้อมูล เจ้ารู้ไหมทำไมสัตว์อสูรถึงสามารถกลับเข้าไปในคัมภีร์อัญเชิญได้เองโดยไม่ต้องออกคำสั่ง? เย่ว์หยางน้อย, เมื่อเจ้าเข้าใจการใช้งานที่แท้จริงของคัมภีร์อัญเชิญของเจ้าได้ในที่สุด เจ้าจะต้องอัศจรรย์ใจอย่างแน่นอน!”

รอยยิ้มของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีแทบทำให้หัวใจเย่ว์หยางพองโตจนระเบิดด้วยความใคร่รู้

จากนี้ไป นางพญาเฟ่ยเหวินหลีจะแบ่งความลับแบบไหนให้เขากันแน่?

ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=302

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด