ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 2 -- เส้นมนตรา

ตอนที่ 1 -- ปฐมบท


ตอนที่ 1 ------ ปฐมบท

 

สมาพันธ์จอมเวทย์

 

เนื่องด้วยนักเวทย์จำนวนมากมารวมตัวกัน, ผมซึ่งถูกอาบไปด้วยคำสรรเสริญนั้นอยู่ใจกลางเสียงปรบมือ

 

“จอมเวทย์เซฟ ไอน์สไตน์, เพื่อเป็นการเคารพสรรเสริญต่อเวทย์มนต์ที่แข็งแกร่งของเจ้า, พวกเราขอมอบฉายาของจอมเวทย์สีแดงที่เก่งกาจที่สุด ‘เฟลมออฟเฟลม’(Flame of Flame - เพลิงแห่งอัคคี)”

 

“ฮ่ะฮ่ะ, ขอบคุณ”

 

“จงพยายามต่อไป เพื่อไม่ทำให้อับอายต่อฉายานี้”

 

ผมเป็นตาแก่ไปแล้วตอนนี้, แต่ อา นั่นก็ยังเป็นผม-

 

จอมเวทย์ผู้ถือครองฉายาที่สูงส่งที่สุดในสายสีแดง ‘เฟลมออฟเฟลม’

 

ตั้งแต่เด็ก ผมมักหลงใหลในเวทย์สีแดง นี่คือสิ่งกระตุ้นที่ทำให้ผมต้องการ เพื่อมาให้ไกลได้ขนาดนี้ ด้วยการฝึกฝนอย่างยากลำบาก

 

ผมอุทิศตนให้กับเวทย์มนต์วันแล้ววันเล่า ไวน์, ผู้หญิง, เงินตรา และสิ่งล่อลวงต่างๆในโลกใบนี้ไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับการเรียนเวทย์สีแดงของผม

 

มันเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้ง

 

ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังสนั่นราวกับสายฟ้าฟาด ผมเดินลงจากเวทีในขณะที่ลดมือลง ความเงียบเข้าปกคลุม เหลือเพียงสายตาของเหล่านักเวทย์หนุ่มสาวที่จับจ้องมา

 

แล้วก็ทุบกำปั้นลง

 

คนดังผู้เร่าร้อน

 

มันดูไม่เหมือนการปองร้าย

 

มันคือการสรรเสริญ ที่กล่าวด้วยความปิติยินดี

 

และการถูกดูถูกเหยียดหยาม หรือถูกข่มเหงโดยเหล่าคนเขลานั่นทำให้ผมเติบโตขึ้น

 

นั่นทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

 

อย่างไรก็ตาม ผมจะร่วมดื่มด่ำไปกับสิ่งนี้ แด่ความก้าวหน้า!

 

“ผมจะตั้งเป้าให้สูงยิ่งกว่านี้! ในฐานะเฟลมออฟเฟลม ผมจะก้าวขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุด!”

 

ว้าววววววว!!

 

ภายในกระแสแห่งเสียงเชียร์และเสียงปรบมือ ผมชูมือขวาขึ้น

 

*แชะแชะแชะแชะ* เสียงของเครื่องถ่ายภาพเวทย์มนต์ขนาดจิ๋วก็ดังออกมา

 

คำกล่าวนี้ได้แพร่สะพัดผ่านทางหนังสือพิมพ์ที่สมาพันธ์นักเวทย์แจกจ่าย ซึ่งตีพิมพ์ออกไปทั่วทั้งทวีป, ปีนี้จะเป็นปีที่พูดถึงจอมเวทย์คนใหม่

 

-ปีต่อมา

 

ผมเข้าไปเยี่ยมสมาพันธ์นักเวทย์เพราะเวทย์มนต์ใหม่ที่มีชื่อว่า สเกาท์สโคป(Scout Scope)

 

มันเป็นเวทย์ที่ใช้วัดค่าพรสวรรค์หรือความสามารถแฝงของนักเวทย์ และทำให้รู้ว่าเวทย์มนต์สายไหนเหมาะกับตนเอง

 

ปกติแล้ว ‘เวทย์มนต์’ สามารถแบ่งออกเป็นห้าสายหลักและสายย่อย

 

[สีแดง]

 

เวทย์ไฟซึ่งเป็นเวทย์ที่เด่นในเรื่องการโจมตี พลังของมันถือว่ามีมากที่สุดในเวทย์ทั้งห้าสาย

 

[สีน้ำเงิน]

 

เวทย์น้ำที่เด่นในเรื่องการสนับสนุน และ การรบกวน เวทย์ที่มีผลต่างๆสามารถเรียนได้จากเวทย์สายนี้, และเป็นเรื่องบังเอิญที่ สเกาท์สโคปเองก็เป็นเวทย์ย่อยของสายสีน้ำเงินเช่นกัน

 

[สีเขียว]

 

เวทย์ที่เข้ากันได้กับโลกและอวกาศ, หากฝึกฝนดีๆล่ะก็ มันก็เป็นไปได้ที่จะควบคุมทั้งภูมิประเทศและช่องมิติ, แม้เวทย์สายนี้จะไม่หลากหลายเท่าไหร่ แต่มันก็ทรงพลังมาก

 

[ท้องฟ้า]

 

เวทย์มนต์ที่สามารถรบกวนบรรยากาศ ทำให้มีโอกาสที่จะควบคุม ลมและสายฟ้าได้, ลักษณะของเวทย์สายแปลกประหลาดนี้ ทำให้มันเป็นสายที่ทรงพลัง แต่ก็ควบคุมได้ยาก

 

[วิญญาณ]

 

เวทย์ของเทพและปีศาจ, ว่ากันว่าหากฝึกฝนมัน ก็จะสามารถส่งสารไปยังเทพหรือปีศาจได้… ก็มีนักเวทย์ที่ฝึกสายนี้อยู่ไม่มาก จึงไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่

 

นี่คือเวทย์ทั้งห้าสาย หรืออย่างน้อยก็เป็นเวทย์ห้าสายหลักที่นักเวทย์ส่วนใหญ่ฝึกกัน

 

ตัวผมนั้นเชี่ยวชาญเวทย์สีแดง

 

การวัดความสามารถของคนด้วยสเกาท์สโคป แน่นอนว่าผมรู้สึกสนใจ, มันเป็นเรื่องดีที่จะได้แสดงให้นักเวทย์คนอื่นเห็น

 

แม้ว่าคนอื่นไม่สามารถใช้เวทย์ได้อย่างชำนาญ แต่ผมชำนาญมันอย่างแน่นอน แล้วใช้มันกับตัวเอง

 

ผลลัพธ์ของจอมเวทย์สายสีแดงที่เก่งที่สุด ‘เฟลมออฟเฟลม’ คือ…

 

เซฟ ไอน์สไตน์

 

เลเวล 99

 

เวทย์ [สีแดง] เลเวล : 62/62

 

เวทย์ [สีน้ำเงิน] เลเวล : 49/87

 

เวทย์ [สีเขียว] เลเวล : 22/99

 

เวทย์ [ท้องฟ้า] เลเวล : 22/89

 

เวทย์ [วิญญาณ] เลเวล : 19/97

 

เอ๋…?

 

ตาของผมแทบจะถลนออกมา

 

จอมเวทย์สีแดงที่เก่งที่สุด… มีพรสวรรค์ด้านเวทย์สีแดงต่ำที่สุด

 

บ้าน่า!?

 

แม้ว่าผมจะตรวจสอบอีกกี่ครั้ง… ตัวเลขที่แสดงก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย

 

‘เลเวล’ เป็นความคิดที่มีมานมนานแล้ว ในทางตรงกันข้าม มันมีโอกาสที่จะพัฒนาขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว

 

แต่ในตอนท้าย เลเวลก็จะหยุดเพิ่มขึ้นและการพัฒนาก็จะหยุดลง, นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ขีดจำกัดพรสวรรค์’ ถือเป็นจุดยุติการฝึกฝน

 

ตัวผมนั้น รู้สึกได้ถึงขีดจำกัดของการพัฒนามานานแล้ว

 

เมื่อถึงเลเวล 99 คุณก็จะเริ่มคิดถึงสิ่งพวกนี้

 

แต่เวทย์ที่ใช้ยากอย่างเวทย์ [สีเขียว] หรือ [วิญญาณ] เป็นเวทย์ที่ผมมีความสามารถแฝงมากที่สุดจริงดิ?

 

คนอื่นๆอาจไม่ต้องฝึกฝนหนักอย่างผม แต่กลับมีความสามารถแฝนของเวทย์สีแดงมากกว่าผมอย่างง่ายดาย

 

นี่มันผิดพลาดแล้ว

 

ผมไม่ได้เป็นตาแก่มาตลอด… ผมเองก็เคยเป็นเด็กเหมือนกัน

 

ไม่น่า… ผมไม่สมควรจะได้รับผลลัพธ์แบบนี้

 

ยิ่งเรียนรู้เวทย์มนต์นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งคิดได้ว่ามันใกล้จะถึงจุดสุดท้ายเร็วขึ้นเท่านั้น

 

ผลของการฝึกฝนและการวิจัยของผมไม่มีทางโกหก ผมยอมตายดีกว่าจะปล่อยให้มันจบลงแบบนี้!

 

แต่ผมจะไม่ยอมตาย! แม้ว่าผมจะรู้สึกได้ว่าภายในใจได้ตายไปแล้ว…

 

แล้วนักเวทย์สายสีแดงอีกคนที่มีค่าพรสวรรค์สูงกว่าก็เอาฉายา เฟลมออฟเฟลม ไปจากผม

 

ขีดจำกัดของผมคือ 62 ในขณะที่ของมันคือ 99

 

สมาพันธ์นักเวทย์บอกว่า เลเวลความสามารถแฝงของผมต่ำเกินไป จนไม่มีค่าพอที่จะใช้ ฉายานั่น

 

ผมไม่อาจกล่าวแย้งอะไรได้เลย

 

ในเมื่อผมเอื้อมถึงจุดสูงสุดของขีดจำกัดพรสวรรค์ของตนแล้ว มันก็ถึงเวลาสำหรับนักเวทย์หนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่จะเปล่งประกาย…

 

และได้รับฉายาของผมไป….

 

แม้เขาจะมีพรสวรรค์คู่ควรกับมัน แต่ในเมื่อเขาไม่มีประสบการณ์การต่อสู้เลย มันก็ไม่มีทางที่ผมจะแพ้เจ้าเด็กพรรค์นั้น…

 

ผมเข้าใจเรื่องนั้นดี ถึงแม้พวกเขาจะไม่เข้าใจก็ตาม

 

แต่ผมไม่ยอมแพ้หรอก ผมจะต้องก้าวไปในเส้นทางแห่งนักเวทย์ต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่

 

ผมพยายามดิ้นรน ต่อสู้ เพื่อจบความเจ็บปวดจากการฝึกให้เร็วขึ้น แม้แต่หนึ่งวินาทีก็ยังดี

 

และในปากเหวแห่งความตาย ในที่สุดผมก็ได้สร้างเวทย์ใหม่ขึ้นมา

 

ผมใช้เวลาอยู่หลายปีรอแล้วรอเล่า เพื่อที่จะได้ปลดปล่อยเวทย์ที่ตราตรึงไว้ในร่างกายนี้

 

ไทม์ลีป (Time Leap - ย้อนเวลา)

 

วิญญาณของผมออกจากร่าง ท่องผ่านห้วงเวลาแล้วกลับมายังอดีต

 

แต่มันเป็นเวทย์ที่ยังไม่สมบูรณ์ มีเพียงความรู้เท่านั้นที่ส่งผ่านกลับไปได้ และผมต้องฝึกฝนเวทย์ใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง

 

แต่โชคดีที่ผมชอบการฝึกเวทย์

 

แต่ก็ไม่เสมอไป ใช่แล้ว ผมไม่รู้ว่าเวทย์นี้จะพาผมย้อนเวลากลับไปในช่วงเวลาไหน แต่ครั้งนี้ ผมจะใช้ข้อได้เปรียบจากความรู้และสเกาท์สโคปอย่างเต็มที่แน่นอน

 

สติของผมหายไปอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างกลายเป็นสีขาว

 

แล้ว….

 

“เซฟ ลูกไปโรงเรียนสายแล้วนะ! ลุกขึ้นมา!”

 

เตียงสีขาว เสียงของแม่ และกลิ่นของซุปมิโซะ

 

ร่างของผมกลับกลายเป็นเด็ก

 

ผมกลับมาในช่วงเวลาที่ดีมาก

 

ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างผม

 

แต่มันก็ลำบากเวลาขยับร่างกาย

 

พูดตามตรง ผมไม่คิดว่ามันจะไปได้สวยขนาดนี้

 

มันเป็นเรื่องดีที่สามารถพูดได้ว่า เป็นการประสบความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม

 

ผมชี้นิ้วชี้ไปยังหน้าต่าง แล้วปล่อยพลังเวทย์ออกมาเพื่อใช้เวทย์เริ่มต้นของสายสีแดง เรดบอล(Red Ball - บอลแดง)

 

แต่มันไม่ทำงาน

 

“บ้าน่า…”

 

ผมพยายามเพ่งสมาธิไปที่ร่างตัวเอง แล้วก็พบว่าพลังเวทย์ที่ควรจะแล่นผ่านเส้นมนตรานั้น ไม่ตอบสนองดีเท่าที่ควร

 

ผมต้องซ่อมเจ้านี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้, ลืมเรื่องขีดจำกัดพรรสวรรค์ไปก่อน นักเวทย์ที่ใช้เวทย์ไม่ได้ ไม่ถือเป็นนักเวทย์

 

...แต่ตอนนี้ ผมรู้สึกหิวแล้ว

 

“อ๊ะ ผมกำลังไปครับ แม่!”

 

เมื่อผมวิ่งลงบันไดมา เห็นใบหน้าของแม่เป็นครั้งแรก ผมก็ร้องไห้ออกมาทันที

 

แม่เห็นคราบน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าก็หัวเราะอย่างอ่อนโยน

 

รอยยิ้มที่ชวนให้คิดถึง ผมไม่อาจหยุดไม่ให้น้ำตาไหลออกมาได้

 

“เป็นอะไรไปเซฟ? ลูกฝันร้ายหรอ?”

 

“เปล่าครับ...ผมแค่...รู้สึกดีใจ…”

 

“เด็กพิลึก”

 

ผมผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่จนเป็นตาแก่ นั้นเข้าใจถึงความเจ็บปวดเรื่องความสำคัญของเวลา

 

ผมไม่อาจเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว, ผมจะต้องฝึกเวทย์ของตัวเองให้มีประสิทธิภาพให้ได้ในครั้งนี้

 

ผมปาดน้ำตาออก แล้วในตอนที่ผมชิมอาหารฝีมือแม่เป็นครั้งแรก ผมก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

 

==========

 

อุทิศให้คุณพ่อยุทธนา ศิริพัฒนานันทกูร

 

==========

 

ติดตามผลงานได้ที่ https://www.facebook.com/RachanTranslations/

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด