ตอนที่แล้วตอนที่ 191 กลับถึงบ้าน P.1
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 192 เรื่องลึกลับของสหายผู้น่าสงสาร

ตอนที่ 191 กลับถึงบ้าน P.2


เย่ว์หยางรู้ชัดว่าฝีมือของพี่สาวโฉมสะคราญนั้นคือทักษะในระดับปราณก่อกำเนิด อย่างไรก็ตาม มันแตกต่างจากทักษะปราณก่อกำเนิดของเขาอย่างสิ้นเชิง

การควบคุมและวิธีใช้ออกของนางดีกว่าเย่ว์หยางอย่างน้อยร้อยเท่า ภายใต้การควบคุมพลังที่ยอดเยี่ยมของนาง นางแสดงพลังปราณก่อกำเนิดระดับ 1 ที่ทำให้เย่ว์หยาวต้องอ้าปากค้างด้วยความอัศจรรย์..

กลับกลายเป็นว่าเขาสามารถควบคุมกระบี่ไร้ลักษณ์ปราณก่อกำเนิดด้วยวิธีนั้น ถ้าเขารู้วิธีเร็วขึ้น เขาคงไม่ต้องเข้าสู่สภาวะคลั่งเพื่อลุยกับถูเฉิงเป็นแน่

พี่สาวคนงามไม่ได้พูดอะไร นางเพียงแสดงทักษะของนางต่อหน้าเย่ว์หยาง ปล่อยให้เย่ว์หยางเข้าสู่ขอบเขตแห่งสำนึกและความรู้ครั้งใหม่

หากเปรียบเหมือนขอบเขตปราณก่อกำเนิดเป็นอาคาร อย่างนั้นความแข็งแกร่งปราณก่อกำเนิดระดับ 2 ของถูเฉิงก็เป็นเหมือนอาคารที่มีสองชั้น

ถูเฉิงกับการเสริมพลังสามชั้นของเขาทำให้พลังของเขาเกือบอยู่ในระดับปราณก่อกำเนิดระดับ 3 ดังนั้นมันจึงเหมือนกับเป็นอาคารสองชั้นครึ่ง เย่ว์หยางไม่รู้ว่าระดับพลังของเขาหลังจากเข้าสู่สภาวะคลั่งจะสูงมากขนาดไหน เขาจำได้ว่าแทบจะฆ่าถูเฉิงได้ทันที

ตอนนี้ สาวงามในฝันได้ใช้อีกขอบเขตหนึ่งเพื่อบอกเย่ว์หยางว่า แม้อาคารของเย่ว์หยางจะเป็นเพียงอาคารชั้นเดียวในตอนนี้ แต่ในชั้นนั้นยังไม่ได้แสดงความแข็งแรงที่แท้จริงของตัวมันเองออกมา

ถ้าเปรียบอาคารสองชั้นครึ่งของถูเฉิงเป็นเช่นกับอาคารธรรมดา อย่างนั้นขอบเขตปราณก่อกำเนิดของพี่สาวคนงามในฝันก็เป็นเหมือนอาคารที่มีชั้นเดียวเมื่อมองจากภายนอก แต่อาคารชั้นเดียวของนางกินเนื้อที่เทียบเท่ากับวังหลวงในนครปักกิ่ง พื้นที่ั้ชั้นเดียวของนางยังสูงกว่าอาคารสองชั้นครึ่งของถูเฉิงมากนัก..

ถ้าจะพูดให้ถูกยิ่งขึ้น ขอบเขตปราณก่อกำเนิดที่สาวงามในฝันแสดงให้เย่ว์หยางดู เกินกว่าที่เย่ว์หยางเคยจินตนาการไว้มาก ปราณก่อกำเนิดระดับ 1 ของนางกว้างขวางและลึกลับ ไม่เพียงแต่มีความแข็งแกร่งมากกว่าปราณก่อกำเนิดระดับ 2ของถูเฉิงเท่านั้น แต่ยังแข็งแกร่งกว่าพลังของถูเฉิงอย่างน้อยเป็นสิบเท่า!

ขอบเขตปราณก่อกำเนิดของนางร่ำรวยและอุดมสมบูรณ์มากเหลือเกิน สง่างามจนไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบได้

เย่ว์หยางยังคงเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 1 แต่เขารู้สึกว่าปราณก่อกำเนิดระดับ 1 ของเขาเป็นเหมือนบ้านธรรมดาสร้างขึ้นจากไม้ ตรงกันข้ามกับพลังปราณก่อกำเนิดของพี่สาวคนงามในฝันที่เป็นเหมือนพระราชวังปักกิ่งที่ใหญ่โตโอฬารและสง่างาม

แม้ว่าทั้งสองจะเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 1 แต่พลัง, ทักษะและศักยภาพของพวกเขาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อเย่ว์หยางเห็นเช่นนี้ นอกจากตกใจตื่นตะลึง เขายังมีความสุขมากอีกด้วย

ในที่สุดตอนนี้ เขาก็สามารถเข้าใจขอบเขตปราณก่อกำเนิดระดับหนึ่งที่งามสง่าขึ้นมาบ้าง ก่อนหน้านี้ เขาต้องการเร่งเพิ่มระดับพลังปราณโดยเร็ว แต่นั่นคงเป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก

ในทางตรงกันข้าม เขาจำเป็นต้องปลูกฝังรากฐานที่มั่นคงสำหรับปราณก่อกำเนิดระดับ 1 ของเขาก่อน เย่ว์หยางรู้สึกว่า ถ้าเขาสามารถเข้าถึงขอบเขตปราณก่อกำเนิดระดับ 1 อย่างที่สาวงามในฝันได้แสดงไว้

ด้วยการปลูกฝังรากฐานที่ดีเช่นนั้น แม้ว่าเขาต้องการจะสร้างตึกระฟ้าในอนาคต เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเลย ขณะที่เขาวางรากฐานที่เป็นรูปธรรมให้กว้างและมั่นคงในช่วงเริ่มต้น

มาถึงบัดนี้ ในที่สุดเย่ว์หยางก็ตระหนักได้ถึงความสำคัญในการวางรากฐานที่ดี

สิ่งที่เขาจำเป็นต้องเปลี่ยนมากที่สุดก็คือรากฐานที่ดีกว่า

ปราศจากรากฐานที่ดี เขาคงเป็นเหมือนถูเฉิง แม้ว่าจะบรรลุขอบเขตปราณก่อกำเนิดระดับ 2 หรืออาจสูงกว่า เขาอาจพบกับอาการคอขวดและติดค้างคาอยู่ในระดับนั้น ทั้งนี้เป็นเพราะรากฐานที่ดีจะเป็นเครื่องตัดสินความเติบโตก้าวหน้าของคน ด้วยว่าคนที่มีรากฐานระดับบ้านธรรมดา ย่อมไม่สามารถสร้างตึกระฟ้าได้แน่นอน!

พอเห็นว่าเย่ว์หยางเข้าใจแล้ว สาวงามในฝันก็ไม่ทุบตีเย่ว์หยางเหมือนที่นางเคยใช้ในการฝึกครั้งก่อน

ตรงกันข้าม นางแสดงทักษะให้เย่ว์หยางเห็นมากขึ้น มากเสียจนจำแทบไม่ได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตามนางงามในฝันมีความอดทนมาก นางช่วยแก้ไขความเข้าใจผิดๆ ของเย่ว์หยาง

แม้ว่านางงามในฝันจะไม่ได้พูดอะไร แต่นางแสดงให้เห็นถึงทักษะของนางต่อหน้าเย่ว์หยางโดยเฉพาะ นางใช้ภาษากายที่ตรงและชัดเจนที่สุดบอกความลับของปราณก่อกำเนิดระดับ 1 แก่เย่ว์หยางทั้งหมด

เย่ว์หยางเข้าใจได้หมดถึงส่วนที่เขาไม่ค่อยเข้าใจ เขายังขาดความรู้ทางการแพทย์, การติดต่อทางกระแสจิต, การผสานกายกับสัตว์อสูรเทคนิคแปลงตัวอื่นๆ อีกมาก เขาตระหนักได้ว่า นอกจากมีวิชาฝีมือที่โดดเด่นเล็กน้อยแล้ว เขายังไม่มีความรู้ในส่วนอื่นๆ แม้แต่ทักษะการจัดการสัตว์อสูรของเขาก็ยังล้าหลังห่างชั้นกับนักรบในทวีปมังกรทะยาน ....

ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเสี่ยวเหวินหลีฉลาดจนไม่มีใครเทียบได้ เธอรู้วิธีต่อสู้ด้วยตัวเธอเอง ตัวเขาเองไม่คู่ควรได้รับการกล่าวขวัญถึงด้วยซ้ำหาก ถ้าเขาใช้ความสามารถของตนเองควบคุมสัตว์อสูร..

ตัวอย่างเช่น ทักษะการควบคุมที่อ่อนด้อยของเขาเห็นได้ก็ตอนที่เขาจัดการโคเงาเถื่อน หรืออสูรทองตัวน้อย เย่ว์หยางไม่เข้าใจวิธีควบคุมมันด้วยตัวเขาเอง มันออกมาด้วยตนเองในแต่ละครั้ง

“จริงๆ แล้วข้าจำเป็นต้องปลูกฝังพื้นฐาน เรื่องนี้สำคัญมาก!”

เย่ว์หยางถอนหายใจอยู่ในใจนับครั้งไม่ถ้วน

ยามนี้ที่เขาได้เห็นขอบเขตที่พี่สาวคนงามในฝันแสดงให้เขาดู ทำให้เขาเป็นเหมือนกับเด็กบ้านนอกที่เพิ่งเข้ากรุงที่เต็มไปด้วยอาคารระฟ้าและเขารู้จักแค่เพียงเครื่องบินกับรถเท่านั้น

เมื่อเขาตื่นขึ้น เย่ว์หยางพบว่า เขาได้กลับมาอยู่ที่บ้านในเมืองไป๋ฉือแล้ว

แม่สี่กำลังนั่งอยู่ข้างหน้าโต๊ะขณะป้อนอาหารเด็กหญิง นางป้อนอาหารเต็มช้อนให้เด็กหญิง จากนั้นหันไปอีกด้านหนึ่งและป้อนอาหารอีกจานหนึ่งให้เสี่ยวเหวินหลี นางต้องคอยใช้ผ้าเช็ดมือคอยเช็ดคราบอาหารที่ติดอยู่ริมฝีปากของเด็กน้อยทั้งสอง

เย่ว์ปิงกำลังซบอยู่ที่เตียงของเขา นางคงอ่อนเพลียมาก ถึงกับหลับมีเสียงกรนออกมา

“ข้ากลับมาบ้านได้อย่างไร?”

เย่ว์หยางจำได้ว่า เขาหลับอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินแน่นอน เขากลับมาที่บ้านได้อย่างไร? ใครพาเขากลับมาที่นี่?

ฮุยไท่หลางกำลังนอนอยู่บนพื้น ลิ้นของมันห้อยออกมา ตอนแรกมันเบื่อแทบตาย บังเอิญมันหันไปเห็นเย่ว์หยางลุกขึ้นแล้ว มันพรวดพราดลุกขึ้นกระโจนเข้าหาเย่ว์หยางอย่างดีใจไม่มีอะไรเทียบได้ มันเห่าเสียงลั่น

“โฮ่ง, โฮ่ง!”

ไม่หยุดหย่อน เหมือนกับว่ามันซื่อสัตย์ต่อเย่ว์หยางที่สุด เป็นสุนัขเฝ้าบ้านที่ไว้วางใจได้ที่สุด เย่ว์หยางอึ้ง เจ้าฮุยไท่หลางนี้ดูเหมือนจะเชี่ยวชาญภาษาหมาเฝ้าบ้านดีแล้ว ถ้าเขาไม่เห็นรูปลักษณ์ของมันและได้ยินแต่เพียงเสียงของมัน เขาคงคิดว่ามันเป็นหมาธรรมดาตัวหนึ่ง...

“ซานเอ๋อ! ฟื้นแล้วหรือลูก?”

แม่สี่หันมาเห็นเย่ว์หยางฟื้นขึ้นแล้ว มือของนางสั่นจนเกือบทำชามข้าวในมือร่วง

“พี่เสี่ยวซาน...”

เย่ว์ซวงยืนขึ้นบนเก้าอี้ทันทีและกระโจนลงไปบนตัวของเย่ว์หยางร้องลั่น เย่ว์ปิงก็ตื่นแล้ว แต่นางไม่ได้ส่งเสียงอะไร เพียงแต่กอดเย่ว์หยางแน่นหลั่งน้ำตาอย่างเดียว

“ฮ้า.. ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่ตายแน่นอน? เย่ว์หวี่ (แก้จากเดิมที่แปลเป็นเย่ว์อยู่) มาดูนี่สิ เขาฟื้นแล้วนี่ไง!”

องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและญาติผู้พี่ของเย่ว์หยาง เย่ว์หวี่ที่อยู่ด้านนอกพอได้ยินเสียงวุ่นวายภายในก็รีบเข้าในห้องอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของพวกนางทุกคนแสดงความแปลกใจ

ข้างหลังพวกนางมีเจ้าอ้วนไห่, เย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่พากันติดคาอยู่ที่ประตูไม่สามารถเข้ามาได้ และก็ไม่สามารถออกมานอกห้องได้

พวกเขาทุกคนกังวลห่วงใยอย่างมากและต้องการจะเข้าไปในห้องพร้อมกัน แต่กลับมาติดคาอยู่ที่ประตูแทน

ใครบางคนใช้เท้ายันก้นพวกเขาจากด้านหลังขณะที่เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นล้มลงกับพื้นดังสนั่น ที่ตามหลังพวกเขามาเป็นอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าผู้มาดมั่นเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยและเหยียบร่างพวกเขาเดินผ่านไป

อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เหมือนกับว่าเย่ว์หยางเป็นหนี้เขา 30,000 เหรียญทองและเพิ่งใช้คืนในวันนี้ เขารอจนกระทั่งเย่ว์หยางปลอบสาวน้อยสาวใหญ่ที่พากันร้องไห้ทั้งห้องเสร็จแล้ว ก่อนที่จะแตะไหล่ของเย่ว์หยางและกระซิบที่หูของเขา

“เด็กน้อย! คราวนี้เจ้าเสร็จจริงๆ แน่ ขอร้องข้าซะ มิฉะนั้นข้าจะไม่ช่วยเจ้าแน่นอน เจ้าต้องขอร้องให้ข้าช่วยเจ้าจากใจจริง!”

เย่ว์หยางเหงื่อตก เมื่อได้ยินเช่นนี้ อะไร? เสร็จเหรอ?

เขาก็ทำได้ดีนี่นา ทำไมเขาจะต้องเสร็จแน่? เป็นไปได้ไหมว่า เรื่องที่เขากู้ชีพแม่สี่ถูกองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนแพร่งพราย?

แต่ก็ทำเพื่อช่วยแม่สี่ ตอนนั้นเขาไม่มีทางเลือกอื่น

จากนั้นเขามองแม่สี่กำลังเช็ดน้ำตาด้วยความปลื้มใจ เย่ว์หยางโล่งใจอย่างมาก ถ้าแม่สี่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ นางคงรู้สึกกลัวแน่นอน เนื่องจากนางยังคงทำตัวปกติ นั่นหมายความว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไม่ได้พูดออกไป ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่ใช่คนประเภทปากโป้ง นางเป็นเพียงแม่เสือสาวที่ดุร้ายไปหน่อยและชอบจ้องคนอื่นด้วยตาเสือของนาง

“นักเรียนไตตัน เจ้าก็รู้ว่าการโกหกเป็นเรื่องไม่ดี โดยเฉพาะการโกหกสาวๆ เป็นเรื่องแย่ที่สุดที่ได้ทำลงไป ตอนนี้ เจ้าโกหกผู้หญิงไปถึงสองคน และครอบครัวของพวกนางกำลังมาที่นี่เพื่อขอคำอธิบายจากเจ้า บอกมาซิว่าเจ้าควรทำอย่างไร? ก่อนหน้านี้เจ้ายังคงหมดสติ ดังนั้นพวกเขาจึงปล่อยไปก่อน ตอนนี้เจ้าฟื้นแล้ว เจ้าไม่อาจหลบเลี่ยงได้แล้ว แม้ว่าเจ้าอยากจะทำก็ตาม ข้าถึงบอกว่าเจ้าเสร็จแน่ๆ!”

อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าใช้โทนเสียงเหมือนกับนักพรตขณะแตะไหล่ของเย่ว์หยางเบาๆ และยังคงดึงเขาไว้

“ถ้าเจ้าขอร้องข้าจากใจจริง ข้าจะรับไว้พิจารณาช่วยพูดให้เจ้าดีๆ กับพวกเขา ถ้าเจ้า เด็กน้อย, ยังดื้อด้านเหมือนเมื่อก่อนและโกงข้าทำให้ข้าเป็นเหมือนคนโง่ อย่าตำหนิว่าข้าไม่ช่วยเจ้านะ! หึหึ เจ้าคิดเองดีๆ!”

“ท่านพล่ามเรื่องเหลวไหลอะไรกัน! เด็กดี ซื่อสัตย์รักความเที่ยงธรรมอย่างข้าจะโกหกใครเขาได้!”

คำพูดของเย่ว์หยางทำให้อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าหัวทิ่มพื้นทันที

“เจ้ากล้าพูดว่าเจ้าไม่ได้โกหกหรือ?”

อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าคว้าแขนเย่ว์หยางไว้

“ข้าไม่ได้โกหก แม้ว่าข้าจะโกหก นั่นเป็นสิ่งที่ท่านได้สอนข้าไว้ ก็ท่านเป็นครูนี่ ข้าเป็นนักเรียน ก็เหมือนที่เค้ากล่าวกันว่า”สอนโดยไม่มีความรุนแรง คือความผิดของครู””

เย่ว์หยางปกป้องตนเองอย่างกล้าหาญและมั่นใจ

“เจ้านี่เขี้ยวจริงๆ!”

อาจารย์จิ้งจอกเฒ่ายกหัวแม่มือให้เย่ว์หยาง

“งั้นค่อยมาดูกันว่าเจ้าจะรับมือครอบครัวของสองสาวได้อย่างไรกัน”

“ข้าไม่ได้ขโมย ไม่ได้ปล้นใคร แล้วข้ายังจะต้องกลัวอะไรด้วย”

เย่ว์หยางป้องกันตัวเองเต็มที่

“แต่เจ้าลักพาลูกสาวของครอบครัวอื่น... ครอบครัวสาวน้อยนางนี้กำลังรอเจ้าอยู่ในห้องโถง”

สีหน้าของอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าเป็นเหมือนกับว่าเพลิดเพลินยินดีกับหายนะของเย่ว์หยาง และกระตือรือร้นดูว่าเขาจะทำอะไรต่อไป

“พวกท่านกระซิบเรื่องอะไรกัน? เนื่องจากเจ้าสบายดีแล้ว ข้าจะไปล่ะ, อย่างไรก็ตาม เจ้าทำท้องพระโรงพัง แต่ข้าจะปล่อยเอาไว้ก่อน ข้าไม่ได้อยู่ที่นั่นอยู่แล้ว แต่เจ้าทำแจกันหยกขาวลายหงส์เมฆแตก มันมีราคา 1600 เหรียญทอง เมื่อเจ้ามีเวลาจำเอาไว้ว่าใช้คืนข้าด้วย!”

องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนผู้มีทักษะธรรมชาติหกรับรู้ได้ยินคำสนทนาระหว่างเย่ว์หยางและอาจารย์จิ้งจอกเฒ่า แต่นางทำเป็นไม่ได้ยิน นางกลับคิดค่าเสียหายกับเย่ว์หยางแทน จดจำไว้ว่าเย่ว์หยางเป็นหนี้องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน 1600 เหรียญ นางต้องการให้เย่ว์หยางลงชื่อหนังสือรับสภาพหนี้

“เหลวไหล!”

เย่ว์หยางฉีกหนังสือรับสภาพหนี้ทิ้งทันทีเมื่อเขารับมันมา ก่อนที่จะตะโกนใส่องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนอย่างประหลาดใจ

“เราเป็นใครกัน? เจ้าจะปล่อยให้แจกันเหม็นๆ มากีดกันมิตรภาพที่บริสุทธิ์ของเราได้อย่างไร!”

“เรามีมิตรภาพที่บริสุทธิ์ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเถียงกลับทันที

“เราไม่มีเหรอ? เอางั้นก็ได้, ลาก่อน, ข้าจะไม่พบหน้าเจ้าแล้ว!”

เย่ว์หยางโบกมือแล้วชี้ไปที่ประตูให้องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนออกไปจากห้อง เย่ว์หวี่ญาติผู้พี่ของเขาแอบหัวเราะขณะที่ดึงตัวองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนออกไปจากห้องและเกลี้ยกล่อมนางอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนอยากจะกัดเขาให้ตายนัก แต่มีคนอยู่ในห้องมากมาย ดังนั้น นางทำเป็นมีมารยาทอำลาแม่สี่จากไป

จากนั้นแม่สี่เข้าไปที่ห้องโถงเพื่อบอกข่าวดีกับคนอื่นๆ โดยนำเด็กหญิงไปด้วย ดูเหมือนว่ามีคนอยู่ 2-3 คนรออยู่ข้างนอก

เสี่ยวเหวินหลีกลายเป็นสายรุ้งหายกลับเข้าไป ขณะที่ฮุยไท่หลางเอาหัวมันสีกับเท้าเย่ว์หยาง หลังจากนั้นชั่วครู่ มันก็นึกได้ว่าเย่ว์หยางไม่มีเวลาสนใจมัน ในที่สุดมันเดินออกไปข้างนอกเองและไปนอนผึ่งแดด

เย่ว์หยางเห็นว่าเจ้าอ้วนไห่, เย่คงและคนอื่นๆ ได้รับบาดเจ็บกันทุกคน เขาถามด้วยความสงสัย

“พวกเจ้าไปผ่านการฝึกหนักมาแบบไหนกันแน่? และสภาพของพวกเจ้าเป็นแบบนั้นได้อย่างไร?”

คิดไม่ถึงว่าเย่ว์หยางถึงกับเหงื่อตกไม่หยุดเมื่อได้ยินคำตอบของเย่คง เย่คงตอบว่า

“ไม่ ไม่ ไม่ใช่ฝึกสุดโหดหรอก เราบุกยึดเทือกเขาสุนัขโหย ต่อสู้กับสาวกนิกายพันปีศาจ นั่นคือสาเหตุที่มีสภาพแบบนี้.. เราก็เกือบตายเหมือนกัน โชคดีที่เรายังรอดชีวิตอยู่ได้ เฮ้อ...ข้าเพิ่งตระหนักว่าตอนนี้เราอ่อนหัดและอ่อนแอขนาดไหน...”

เจ้าอ้วนไห่ตรงกันข้าม กลับยกตัวเองอย่างภาคภูมิใจ และยินดีกับตัวเอง

“แม้ว่าเราไม่ได้ไปช่วยแม่สี่ แต่เราก็เอาชนะนักสู้ระดับ 4 ได้สองคนและนักสู้ระดับ 5 ได้อีกหนึ่งคน เป็นความสำเร็จในการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ เฮอะ เฮอะ เฮอะ.. เจ้าไม่ได้ยินเลยน่ะสิ แต่สองวันที่แล้ว ทางโรงเรียนยกย่องข้าเล็กน้อย คนที่ชอบดูถูกข้าเมื่อก่อนนั้นอิจฉาตาแทบถลนจากเบ้า พวกเขาไม่รู้ว่าข้าเกิดมาในโลกนี้เพื่อเอาชนะพวกสาวกนิกายพันปีศาจ เป็นยอดฝีมือนี่ช่างเหงาจริงๆ”

เย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่รีบแยกตัวออกมาจากเขาทันที ปล่อยให้เขาพล่ามไปคนเดียว

เย่ว์ปิงไม่ได้พูดอะไรเลย นางมีแต่ความยินดี

“สองวันที่แล้วหรือ? ข้ากลับมาได้อย่างไร? ข้าอยู่บ้านมาถึงสองวันแล้วหรือ?”

เย่ว์หยางขมวดคิ้ว เป็นไปได้หรือที่เขาหลับไปถึงสองวันเต็มๆ?

“ดูเหมือนว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนแบกเจ้ากลับมา เราไม่แน่ใจจริงๆ แต่เจ้าไม่ได้เพิ่งอยู่บ้านมาสองวันนะ เจ้าหลับใหลไม่ได้สติมาสิบวันแล้ว วันนี้ดูเหมือนจะเป็นวันที่สิบเอ็ด!”

เมื่อเย่คงพูดเช่นนี้ เย่ว์หยางถึงกับอึ้ง เขาฝันนานถึงสิบเอ็ดวันเชียวหรือ?

“เกิดอะไรขึ้นที่ข้างนอก?”

เย่ว์หยางสามารถรู้สึกได้ว่ามีนักรบหลายคนกำลังคุยกันอยู่ที่ห้องโถงใหญ่

“ป้าของพี่อี้หนานมาเยือน กลายเป็นว่าพี่อี้หนานเป็นหญิง ไม่ใช่ผู้ชาย..”

เย่ว์ปิงรู้สึกเหมือนว่าได้เวลาที่นางจะอธิบายความจริงให้เย่ว์หยาง นางไม่รู้ว่าเย่ว์หยางรู้ว่าอี้หนานเป็นผู้หญิงตั้งแต่วันแรกที่พบแล้ว แม้แต่นางยังคิดว่าพี่ชายผู้โง่เขลาของนางก็ยังไม่สามารถจำแนกออกระหว่างหญิงกับชาย เพราะเขาเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในบ้านนานเกินไป

“อ๋า? เจ้าแน่ใจเหรอ? อี้หนานเป็นผู้หญิง?”

เย่ว์หยางต้องแกล้งทำประหลาดใจอย่างมาก แต่เขารู้สึกว่าเขาไม่ควรจะแสดงท่าทางมากเกินไป เย่ว์ปิงอาจสังเกตออกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“เจ้ามันโง่, เจ้าเสียโอกาสดีๆ ที่จะได้จีบหญิงไปแล้ว ตอนนี้สายเกินไปแล้ว .. ข้าอยากตาย...”

เจ้าอ้วนไห่น้ำตาไหลนองหน้าขณะที่เอาหัวตนเองโขกกับผนัง ดูเหมือนว่าเขาเศร้าใจและทุกข์ใจอย่างมาก เหมือนกับว่าเขาต้องการฆ่าตัวตายและปฏิเสธไม่ยอมให้ใครห้ามไม่ให้เขาทำเช่นนั้น

ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=207

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด