ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปภาค 1 ตอนที่ 2  ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นจากบ้านเกิด

ภาค 1 ตอนที่ 1 ห้องเก็บฟืนของโรงเตี๊ยมอบอุ่นดั่งวสันตฤดู


ภาคที่ 1 งานชุมนุมคัดเลือกเซียน

ตอนที่ 1 ห้องเก็บฟืนของโรงเตี๊ยมอบอุ่นดั่งวสันตฤดู

 

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

ณ ยอดเขากระบี่วิญญาณ ภายในห้องไม้ไผ่ขนาดเล็กอันวิจิตร ชายอาวุโสผู้ปักปิ่นรูปกระบี่บนมวยผมกำลังจ้องมองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวฤกษ์สุกใส ในมือถือกระบี่สีเงินประกายวาว ใบมีดของกระบี่สะท้อนแสงดาววาววับ และลวดลายอันซับซ้อนประณีตบรรจงไหลขึ้นจากด้ามกระบี่อย่างช้าๆ ดุจคลื่นน้ำวน แต่ครั้นพอถึงครึ่งทางก็หยุดนิ่งลงทันที

ชายอาวุโสขมวดคิ้ว ภายในใจรู้สึกถึงลางร้าย

“ประกายกระบี่หายไปครึ่งทาง นี่คือสัญญาณแห่งภัยพิบัติ ศิษย์พี่เจ้าสำนัก นี่ท่านกำลังทำนายดวงชะตาให้กับตัวเองอยู่หรือ?”

เสียงหนึ่งดังมาจากเบื้องหลัง หญิงสาวอาภรณ์ขาวที่มือข้างหนึ่งห้อยน้ำเต้าสุราสีดินเหลือง และอีกข้างถือกระบี่ไม้ไผ่สีเขียว เนื้อตัวคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรายาสูบ ปรากฏตัวอยู่ทางด้านหลังของชายอาวุโสผู้กำลังจับจ้องดวงดาว

เมื่อถูกขัดจังหวะ ชายอาวุโสจำต้องหยุดภารกิจเบื้องหน้า ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วกล่าวอย่างระอาว่า

“ศิษย์น้องห้า คราวหน้าคราวหลังโปรดช่วยเคาะประตูก่อน”

“ข้าเคาะตอนออกจากบ้านแล้วนะ”

“ข้าหมายถึงประตูของข้า ไม่ใช่ประตูของเจ้า”

เจ้าสำนักถอนหายใจอีกครั้งก่อนถามว่า

“มาหาข้ามีธุระอะไร?”

“ขอยืมเงิน”

“...ถ้าจำไม่ผิดเจ้ายังติดเงินข้าอยู่สองหมื่นก้อนศิลาวิญญาณ”        เจ้าสำนักเอ่ยด้วยแววตาเคร่งขรึมและจริงจัง

หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดและขมขื่นว่า

“โธ่ นั่นมิใช่เพราะความยากจนข้นแค้นของสำนักกระบี่วิญญาณหรอกหรือ และข้า...อาวุโสห้าผู้ทรงเกียรติ เป็นถึงยอดฝีมืออันดับสองของสำนักแต่กลับได้เงินเพียงเดือนละห้าร้อยก้อนศิลาวิญาณ ต้องใช้หนี้กี่ชาติถึงจะหมด หรือมิเช่นนั้นศิษย์พี่ยอมสละตำแหน่งให้ข้าสิ ข้าจะได้ยักยอกเงินมาชำระหนี้ท่าน...”

“ศิษย์น้องหญิง หากเจ้าอยากเป็นเจ้าสำนักจริง ๆ เช่นนี้แล้ว...”

“เช่นนี้แล้วท่านจะยกตำแหน่งให้ข้า? ศิษย์พี่ท่านช่างเป็นคนจิตใจดีเปี่ยมคุณธรรมโดยแท้!”

“ข้าจะบอกว่า หากอยากเป็นเจ้าสำนัก เจ้าก็ละอบายมุขทั้งสี่[1]เสียก่อน กักตัวบำเพ็ญตนสัก 3-5 ปี สำเร็จถึงขั้นกำเนิดใหม่เมื่อไหร่ค่อยมาคุยกันใหม่ก็ยังไม่สาย”

หญิงสาวอาภรณ์ขาวแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นทันทีแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ศิษย์พี่ ให้ข้ายืมเงินหน่อย”

“…”

“…จริงสิ เมื่อครู่ท่านกำลังทำนายอนาคตของใครกัน คลับคล้ายจะอายุสั้นม้วยมรณาก่อนอายุไขอย่างไรอย่างนั้น”

ศิษย์พี่เจ้าสำนักตอบด้วยเสียงแหบต่ำ

“สำนักกระบี่วิญญาณ”

ใบหน้าของศิษย์น้องห้าพลันเปลี่ยนสี วางสุราในมือลงแล้วกล่าวขึ้นอย่างร้อนรน

“ไม่มีทางน่า สำนักกระบี่วิญญาณจะล่มสลายอย่างนั้นหรือ?!”

“ไม่เพียงแค่สำนักกระบี่วิญญาณเท่านั้น ข้าเกรงว่าสิ่งที่ประกายกระบี่ทำนายจะหมายถึงโลกบำเพ็ญเซียนทั้งหมด ยังจำตำนานกลียุคได้หรือไม่ เฮ้อ...ประกายแสงจางหายไปหนึ่งในสามส่วนของกระบี่ ข้าเกรงว่าความสงบสุขของโลกบำเพ็ญเซียนจะเหลือเพียง 3-5 ปีเท่านั้น ดูเหมือนว่าทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงภัยพิบัติครั้งนี้ได้ก็คือ มอบเงินสนับสนุนจำนวนหนึ่งพันล้านศิลาวิญญาณให้พันธมิตรหมื่นเซียนขึ้นไปซ่อมแซมเรือศักดิ์สิทธิ์แห่งบุพกาลห้าลำนั้น”

“การพยากรณ์ดวงดาวของสำนักกระบี่วิญญาณถือเป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาของโลกบำเพ็ญเซียนที่น้อยคนนักจะทำได้ และผู้มีความเชี่ยวชาญอย่างศิษย์พี่ยิ่งไม่มีทางทำนายผิดพลาดแน่นอน เพียงแต่ว่ากระบี่เซียนที่ศิษย์พี่ใช้อยู่ดูเหมือนจะไม่ใช่กระบี่ ‘ปี’”

เจ้าสำนักชะงัก “ไม่ใช่กระบี่ปีรึ?” ว่าแล้วก็รีบก้มลงสำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วนทันที ด้ามจับของกระบี่ไม่ได้สลักอักษรคำว่า ‘ปี’ หากแต่เป็น....

ชั่วอึดใจต่อมา ชายอาวุโสตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณที่ชื่อเสียงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดินผู้นี้ก็ร้องออกมาอย่างตระหนกตกใจ “ทำไมถึงเป็นกระบี่ชาได้? นี่คงไม่ได้หมายความว่ากลียุคจะเกิดขึ้นในอีกห้าถ้วยชา[2]หรอกนะ!?”

ศิษย์น้องห้าก็ตื่นตกใจจนสุราร่วงลงพื้น แม้ว่าสุราสีอำพันจะหกและไหลกระฉอกออกมา แต่นางก็หาได้ใส่ใจไม่ “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ข้าบอกท่านไม่รู้ตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าสายตาสั้นก็จงสวมแว่นซะ กระทั่งคำว่า ‘ปี’ กับ ‘ชา’ ยังแยกไม่ออกท่านยังมีหน้ามาโวยวายอะไร... ช่างเถอะ ภัยพิบัติกำลังจะเกิดขึ้นภายในอีกไม่กี่ถ้วยชานี้แล้ว ศิษย์พี่รีบมอบตำแหน่งให้ข้าเถอะ ข้าจะได้ตายอย่างสมเกียรติ”

“…ต่อให้ต้องตาย ข้าก็ไม่มีทางปล่อยให้สำนักกระบี่วิญญาณต้องพบเจอกับความอัปยศ”

“ข้าไม่อยากตายด้วยเงินเดือนเพียงห้าร้อยศิลาวิญญาณ! ต้องนอนตายตาไม่หลับแน่ๆ !”

ในขณะที่ทั้งสองกำลังโต้เถียงกันอยู่นั้น ระยะเวลาชาสามถ้วยสุดท้ายก็ค่อยๆ คืบคลานออกไป

ยอดเขากระบี่วิญญาณเป็นสถานที่ที่อยู่ใกล้ท้องนภาที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่สุด ดวงดาวบนท้องฟ้าที่สว่างไสวพร่างพราวเป็นพิเศษค่อย ๆ ขยับหมุนวนอย่างช้าๆ ดาวทุกดวงกำลังสั่นไหวทอประกายแวววาวดั่งละอองเกสรดอกไม้ที่ลอยละล่องบนผิวธารซึ่งสะท้อนผ่านกระจกของเทพสวรรค์ เป็นภาพที่หลายพันปีก็ไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อนในแผ่นดินเก้าแคว้น

ศิษย์สองพี่น้องสบตากัน ภายในอกเต็มไปด้วยความตกใจและพรั่นพรึง

วิชาพยากรณ์ประกายดาวไม่ใช่เรื่องโกหก กลียุคกำลังจะมาเยือนเก้าแคว้นอย่างไม่ทันตั้งตัว และเตรียมกวาดล้างทำลายทุกสรรพสิ่งบนโลกบำเพ็ญเซียนอย่างไร้ความปรานี

ในชั่วกลั้นใจสุดท้ายนั่นเอง ศิษย์พี่เจ้าสำนักก็ปริปากเอ่ยเสียงแหบต่ำกับศิษย์น้องด้วยสีหน้าหม่นหมอง

“ศิษย์น้องหญิง มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากบอกเจ้าเมื่อร้อยปีก่อนแต่ก็ไม่มีโอกาสได้บอกสักที วันนี้ในเมื่อภัยพิบัติกำลังจะมาถึง...” แม้ว่าผู้อาวุโสจะแก่ชราทว่าน้ำเสียงแหบพร่ากลับเปี่ยมเสน่ห์น่าดึงดูด และเมื่อส่งคำพูดที่อัดแน่นด้วยความรู้สึกแท้จริงไปยังโสตประสาทของอีกฝ่าย ทันใดนั้นดวงดาวบนท้องฟ้าก็เริ่มสั่นไหวรุนแรงขึ้น

“ข้าคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องบอกความจริงแก่เจ้า”

ชั่ววินาทีสุดท้ายนั่นเอง เวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไป ดาวฤกษ์ทุกดวงเปล่งแสงสว่างจ้าราวกับทิวากาล ทันใดนั้นเองดาวดวงหนึ่งที่คล้ายไม้กวาดก็วาดผ่านท้องฟ้าไป

นั่นคือสัญญาณเริ่มต้นวาระสุดท้ายของตำนานดาวหางฮาเหลย(ดาวหางฮาร์เลย์) เมื่อดาวหางใหญ่พุ่งตกลงมาสู่ผืนโลก พลังปราณชีวิตทั้งชั้นฟ้าและพื้นดินจะถูกกวาดล้างทำลาย จากนั้นกลียุคจะมาเยือน... ส่วนเขากระบี่วิญญาณที่ตั้งอยู่บนยอดสูงสุดจะถูก ‘พายุเก้าเทพสวรรค์’ กระหน่ำซัด สั่นสะเทือนประหนึ่งผืนฟ้าจะถล่มทลายลงมามิปาน

ดวงตาสุกใสของหญิงสาวชุดขาวกลอกกลิ้งไปมา ภาพย้อนกลับจากพลังขั้นสร้างแกนลมปราณฉายสะท้อนไปมาอย่างบ้าคลั่งในดวงตา นางลากกระบี่ไม้ไผ่ในมือแล้วยกขึ้นบังแสงนั้นอย่างเอื่อยเฉื่อย ราวกับว่าจะยกแผ่นฟ้าที่เอนตกลงมาให้กลับขึ้นไป

ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น ภายหลังจากปรากฏการณ์ที่ดวงดาวนับไม่ถ้วนพุ่งผ่านฟากฟ้าของแผ่นดินเก้าแคว้นเพียงแค่เฉียดไหล่ผ่าน ในที่สุดทุกสรรพสิ่งก็กลับคืนสู่ความสงบ

ศิษย์น้องห้าแกว่งกระบี่ไม้ไผ่ในมือไปมาอย่างสงสัยประหลาดใจ คล้ายจะตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณดั้งเดิมของชั้นฟ้าและผืนดิน

“ดูเหมือนว่า...จะไม่มีอะไรแล้ว?” หญิงสาวหันกลับไปขอคำยืนยันจากศิษย์พี่เจ้าสำนัก ตบะของศิษย์พี่สูงกว่านางถึงสองขั้น แม้นนางจะไม่กลัวหากต้องสู้กับเขาจริงๆ ทว่าการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินครั้งนี้นางจำเป็นต้องขอความเห็นจากผู้ที่มีอำนาจกว่า...

ศิษย์พี่เจ้าสำนักเอ่ยด้วยสีหน้าหดหู่ “อย่างน้อยก็ไม่ใช่กลียุค”

“แหม วิชามหาพยากรณ์ยังทำนายผิดพลาด? แต่ก็ดีแล้วที่ไม่เกิดอะไร ว่าแต่เหตุใดท่านจึงดูผิดหวังนัก?”

“ไม่มีอะไร”

“มิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรอดพ้นจากภัยพิบัตินี้ เรามาเฉลิมฉลองด้วยการยกหนี้ให้ข้ากันเถอะ!”

“…”

เมื่อวิกฤติโลกาวินาศผ่านพ้นไป กระหวัดนึกถึงความรู้สึกตื่นเต้นอันรุนแรงที่พวยพุ่งออกมาเมื่อครู่ ภายในใจของเจ้าสำนักมีเพียงเสียงทอดถอนหายใจยาว นอกเหนือจากนั้นเต็มไปด้วยคำถามสงสัยมากมาย

วิชามหาพยากรณ์อาจจะไม่แน่นอน ทว่าลางสังหรณ์ที่มีต่อภัยพิบัตินั้นไม่มีทางผิดแน่ โดยเฉพาะเมื่อครู่ที่แผ่นดินเก้าแคว้นเผชิญกับเหตุการณ์ทำลายล้างเพียงแค่เฉียดไหล่ผ่าน ซึ่งวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นและหายไปอย่างฉับพลันนี้สร้างความมึนงงให้แก่เจ้าสำนักอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่สามารถมั่นใจได้ก็คือผลกระทบจากมันกำลังแทรกซึมเข้าสู่แผ่นดินเก้าแคว้น

ชายอาวุโสแหงนมองท้องธาราที่เต็มไปด้วยดวงดาวมหาศาลแล้วถอนหายใจ ยกกระบี่ประกายดาวในมือขึ้นขยับไปมาอีกครั้ง หลังจากครุ่นคิดไปพักใหญ่จึงกล่าวว่า “หากรอดจากภัยพิบัติย่อมมีโชคตามมา หลังผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ เป็นไปได้สูงว่าจะถึงยุคทองของโลกบำเพ็ญเซียน... จริงสิ ครั้งล่าสุดที่เราจัดงานชุมนุมคัดเลือกเซียน คือเมื่อไหร่?”

ศิษย์น้องห้าเบิกตาโพลงกล่าวอย่างละล่ำละลัก “งานชุมนุมดะ..ดิบและสด[3]?” ระหว่างที่พูดน้ำลายก็แทบจะหยดติ๋งๆ....

ชายอาวุโสไม่ได้สนใจนาง ยกนิ้วมือขึ้นนับ “อย่างน้อยก็ร้อยกว่าปีแล้ว เช่นนั้นครั้งต่อไปให้จัดขึ้นหลังจากนี้อีกสิบสองปีก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นหากผืนฟ้าแผ่นดินแปรเปลี่ยนก็น่าจะมีอะไรปรากฏหรือเผยออกมาให้เห็น ข้าไม่ได้ขออะไรมากมายขนาดนั้น หากยุครุ่งโรจน์เมื่อร้อยปีก่อนมาเยือนอีกครั้ง สำนักกระบี่วิญญาณก็มีหวังจะฟื้นคืนชีพ”

เมื่อพูดถึงการฟื้นคืนสู่ความรุ่งเรืองของสำนัก รอยยิ้มบนใบหน้าของศิษย์น้องห้าก็ปลาสนาการไปเสียสิ้น แทนที่ด้วยอาการหาวหวอดยาวๆ เอ่ยกับชายอาวุโสด้วยรอยยิ้มขมขื่น “พวกเราพลาดยุครุ่งเรืองเมื่อร้อยปีก่อนไปแล้ว ตอนนี้ยอดฝีมือที่ยังหลงเหลืออยู่ก็มีเพียงพวกเราสิบคนเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้ก็ต้อง...”

ขณะนั้นเองศิษย์น้องห้าแม้แต่หาวก็ยังหาวไม่ออก นางหมุนตัวเดินจากไปพร้อมแค่นเสียงอย่างเยียบเย็น

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งใต้เขากระบี่วิญญาณในแคว้นธาราคราม มีทารกแผดเสียงร้องใสกังวานจุติลงมาเกิด

————

วันเวลาผ่านไป เหตุการณ์ดาวหางฮาเหลยพุ่งชนแผ่นดินเก้าแคว้นกลายเป็นเพียงเรื่องเล่า มีแค่ไม่กี่คนที่รู้ว่าครั้งหนึ่งโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่เคยเฉียดใกล้ความพินาศอย่างไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบ ขณะนี้เรื่องเดียวที่ประชาชนชาวธาราครามให้ความสนใจก็คืองานชุมนุมคัดเลือกเซียนที่หายไปกว่าร้อยปีของสำนักกระบี่วิญญาณกำลังจะถูกจัดขึ้นอีกครั้งในต้นเดือนหน้า และไม่มีใครล่วงรู้ว่าอัจฉริยะและผู้มีพรสวรรค์จะมาจากแห่งหนใด

สำหรับงานชุมนุมคัดเลือกเซียนนั้น อันที่จริงก็คือพิธีสรรหาคัดเลือกเด็กใหม่ของสำนักบำเพ็ญเซียนเข้าสู่สำนักเพื่อเริ่มบำเพ็ญตนจนก้าวสู่วิถีแห่งเซียนอมตะ อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้ไม่ใช่ยุคเทพนิยายโบราณแล้ว ในโลกบำเพ็ญเซียนมีเพียงงานชุมนุมของห้าสุดยอดสำนักใหญ่เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์เรียกตัวเองว่าเป็นงานชุมนุมคัดเลือกเซียน

สำนักใหญ่ต้นๆ ของโลกบำเพ็ญเซียนคือสำนักเซียนเซิ่งจิงที่อยู่ทางตอนกลางของแคว้น สำนักเซียนคุนหลุนที่รู้จักกันดีในนามต้นกำเนิดของการบำเพ็ญเซียน สำนักหมื่นยุทธผู้มีคลังเก็บข้อมูลเซียนมหาศาลเป็นอันดับหนึ่ง มีศิลปะวิชานับหมื่นแขนงจนถูกยกให้เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งการบำเพ็ญเซียน สำนักจอมทัพกษัตริย์ที่มีทหารแข็งแกร่งที่สุดในเก้าแคว้น และสุดท้ายสำนักที่ไร้ศิษย์ ไร้เงินทอง ไร้มรดก ไร้การสืบทอด มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเหตุใดจึงถูกพันธมิตรหมื่นเซียนจัดให้อยู่ในห้าสุดยอดสำนักบำเพ็ญเซียน…สำนักกระบี่วิญญาณ!

สำนักกระบี่วิญญาณมีศิษย์ไม่มาก ถ่อมตัวไม่อวดตัวถือดี ถกแต่เรื่องอิทธิพลของสำนัก อย่าว่าแต่จะไปแข่งกับอีกสี่สุดยอดสำนักนั่นเลย กระทั่งคุณสมบัติพื้นฐานทั่วไปก็ยังเทียบไม่ได้ ทว่าป้ายสุดยอดห้าสำนักส่องแสงสีทองระยิบระยับที่แปะอยู่ทำให้ผู้คนไม่อาจจับจ้องเพ่งมองตรงจุดนี้ อีกอย่างโลกบำเพ็ญเซียนก็ไม่ได้จัดงานชุมนุมคัดเลือกเซียนมานานมากเหลือเกิน

ข่าวคราวของงานชุมนุมคัดเลือกเซียนที่สำนักกระบี่วิญญาณจัดขึ้นได้ขจรขจายไปทั่วอาณาจักรเก้าแคว้นตั้งแต่สามปีก่อน นอกจากเงื่อนไขที่จำกัดอายุว่าต้องไม่เกินสิบสองปี นอกนั้นไม่ว่าใครก็สามารถเข้าร่วมได้ ซึ่งตรงข้ามกับสำนักอื่นที่ต้องตรวจสอบพื้นหลังครอบครัวและบรรพบุรุษย้อนหลังสิบแปดรุ่น เมื่อเทียบกันแล้วระเบียบช่างหละหลวมจนแทบไม่เป็นระบบโดยแท้ ดังนั้นข่าวนี้จึงกระตุ้นบรรดาเด็กหนุ่มสาวผู้ทะเยอะทะยานให้เคลื่อนไหวทันที ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านบนภูเขาห่างไกล บุตรจากครอบครัวที่ร่ำรวยมีอำนาจ กระทั่งองค์ชาย... ความเย้ายวนของเส้นทางสู่ความเป็นเซียนอมตะนั้นรุนแรงเหลือเกิน เมื่อเทียบกันแล้วทุกสิ่งทุกอย่างบนแดนมนุษย์ล้วนน่าเบื่อไร้รสชาติสิ้นดี

ขณะนี้เหลือเวลาอีกราวหนึ่งสัปดาห์กว่าจะถึงงานชุมนุมคัดเลือกเซียน แต่เมืองธาราวิญญาณที่อยู่ใต้เขากระบี่วิญญาณกลับเนืองแน่นไปด้วยผู้คน เนื่องจากเมืองธาราวิญญาณเป็นประตูทางผ่านระหว่างแดนมนุษย์กับเขากระบี่วิญญาณ ประชากรอาศัยอยู่ไม่ถึงร้อย ทว่ายามนี้จำนวนคนที่แห่แหนเข้ามากลับมากจนมีแนวโน้มทะลุหมื่น อย่าว่าแต่โรงเตี๊ยมไม่กี่หลังที่สามารถนับได้ด้วยนิ้วมือเลย ตอนนี้กระทั่งข้างห้องน้ำสาธารณะยังมีคนจับจองกางผ้าใบเพื่อเป็นที่พักชั่วคราว

ฝูงคนมหาศาลแต่พื้นที่กลับมีเพียงน้อยนิด ฉะนั้นจึงต้องเบียดเสียดยัดเยียดกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงเตี๊ยมตระกูล ‘หรู’ อันเลื่องชื่อที่ผู้คนต่างยื้อแย่งกันเข้าพักเพียงแห่งเดียว

ปัง!

หน้าประตูโรงเตี๊ยม เงาสามร่างลอยละลิ่วออกไปแล้วกลิ้งตลบบนพื้นดินเป็นลูกหนัง ใบหน้าของสองในสามร่างยักษ์นั้นอาบไปด้วยเลือดกำเดา กราดด่าไม่หยุด

“นี่นางหนู! นายน้อยของข้าเป็นถึงบุตรชายของราชครูแห่งประเทศชางหลาน เจ้ากล้าทำตัวไร้มารยาทกับพวกเรารึ!?”

หนึ่งในนั้นถูกอีกสองคนประคองขึ้นมา ลักษณะเป็นเด็กชายผมสั้นหยักศกสีน้ำตาล ดูท่าจะมีสถานะเป็นคุณชาย จ้องมองไปยังเถ้าแก่เนี้ยเจ้าของโรงเตี๊ยมที่ยืนยิ้มเยาะอยู่ตรงประตูด้วยสายตาคาดไม่ถึงพร้อมกับเลือดที่หยดลงมาจากจมูกไม่หยุด

เขาเหวินเป่าโตมาจนขนาดนี้ กระทั่งบิดายังไม่เคยแม้แต่จะตี นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะถูกเถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมตบหน้าฉาดใหญ่!

เถ้าแก่เนี้ยไม่ได้แก่ชรา ดูๆ แล้วอายุน่าจะราวสิบสี่สิบห้าปี สวมชุดคลุมยาวหนาทึบ คาดทับด้วยผ้ากันเปื้อนที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมัน แต่อากัปกิริยากลับเย่อหยิ่งคล้ายองค์หญิง

“ราชครูแล้วอย่างไร? ต่อให้องค์จักรพรรดิของพวกเจ้ามาข้าก็จะตีเหมือนกัน! บอกแล้วว่าที่นี่ห้องเต็มๆ พวกเจ้าฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือ!? ตอนนี้แม้แต่องค์ชายจากประเทศต้าหมิงยังต้องไปนั่งยองๆ ที่ห้องเก็บฟืน ประเทศเล็กๆ อย่างพวกเจ้ายังกล้าใช้กำลังเพื่อจะเข้าพักห้องพิเศษ!? สมควรถูกตีแล้ว! ประเทศชางหลานไม่มีการสั่งสอนเช่นนี้หรือ!?”

เหวินเป่าผู้ซื่อสัตย์และเลื่อมใสในประเทศชาติกำเนิดคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้ากล้าดูหมิ่นประเทศชางหลานของข้า!? อย่าคิดว่าแค่อาศัยอยู่ในเมืองธาราวิญญาณแล้วพวกเราจะกลัวเจ้า! เจ้า...”

“อย่ามาเอะอะโวยวายตรงหน้าร้านของข้า!”

เหวินเป่ายังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นคิ้วของเถ้าแก่เนี้ยขมวดแน่นเป็นปม นางวาดเท้าออกไปรวดเร็วปานสายลมโดยผู้คุ้มภัยทั้งสองที่เป็นยอดฝีมือด้านยุทธยังไม่มีแม้แต่โอกาสได้โต้ตอบ สายตาจับจ้องไปยังคุณชายที่ถูกเตะเป็นกระสอบทรายลอยละลิ่วออกไปแล้วกลิ้งไปตามเนินเขา

เถ้าแก่เนี้ยเป็นคนทำมาค้าขาย และคนค้าขายที่ดีต้องรักในงานบริการ เป็นมิตรไม่ใช้ความรุนแรง ดังนั้นแม้ว่าลูกเตะนี้ดูเหมือนจะรุนแรงไปสักหน่อยทว่าก็ยังมีความนุ่มนวลแฝงอยู่ ส่วนเหวินเป่านั้นแทบไม่รู้สึกเจ็บ หากแต่ร่างกายของเขากลับเมื่อยขบและชาจนมิอาจกระดิกตัวได้ ทำได้เพียงกลิ้งหลุนๆ ไปตามทางลาดแคบๆ ด้านนอกโรงเตี๊ยมเท่านั้น...

——

ผู้คุ้มภัยช่วยกันพยุงเหวินเป่าผู้ซึ่งขณะนี้มีใบหน้าเขียวช้ำและปูดบวมกลับไปยังหน้าโรงเตี๊ยม แม้ว่าภายในใจของเขาจะอยากใช้มีดสับเถ้าแก่เนี้ยออกเป็นหมื่นๆ ชิ้น ทว่าเขาก็ยังคงนิ่งเงียบไม่ต่อกร จำนนต่อความพ่ายแพ้อย่างจำยอม

ไม่ยอมไม่ได้หรอก

เนื่องจากเมืองธาราวิญญาณเป็นประตูทางผ่านระหว่างแดนมนุษย์กับเขากระบี่วิญญาณ จึงได้รับการปกป้องคุ้มครองจากสำนักกระบี่วิญญาณ แม้แต่หญ้าต้นเดียวคนภายนอกก็ยังไม่อาจเข้ามาทำลายได้ ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงเถ้าแก่เนี้ยเจ้าของโรงเตี๊ยม หลายวันมานี้ไม่มีใครไม่เชื่อเรื่องนี้ วันก่อนหัวหน้าคุ้มภัยขององค์ชายแห่งประเทศเยียนก่อความวุ่นวายหลังจากดื่มสุราเมามาย จึงถูกศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณที่ผ่านมาเห็นเข้าเสียบกระบี่ทะลุสมอง ส่วนองค์ชายประเทศเยียนเองก็ถูกขึ้นบัญชีดำถีบกลับประเทศ ดังนั้นเมื่อเทียบกับประเทศเยียนอันยิ่งใหญ่ที่ครอบครองพื้นที่ไปกว่าครึ่งแคว้นแล้ว ชางหลานถือเป็นประเทศเล็กนิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นสถานะบุตรราชครูก็เทียบอะไรไม่ได้กับองค์ชายเลย

ภายในใจของเหวินเป่ารู้สึกแค้นเคืองและกลัดกลุ้มเสียใจ กฎของเมืองธาราวิญญาณนั้นเขารู้มาก่อนแล้ว การเข้าร่วมงานชุมนุมของเขากระบี่วิญญาณ ผู้สมัครไม่สามารถให้สมาชิกในครอบครัวติดตามมาด้วย ส่วนจำนวนผู้คุ้มภัยมากสุดได้ไม่เกินสองคน และ...ต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎทั้งหมดของเมืองธาราวิญญาณ

หากมิใช่เพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางอันยาวนานหลายพันลี้ทำให้สมองของพวกเขามีปัญหา ไม่ว่าจะมองอย่างไรเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นสาวบ้านนอกเฉิ่มเชยที่แสนเกรี้ยวกราดดุร้าย ดังนั้นหลายคนจึงไม่ได้กรูเข้าไปร่วมโวยวาย และตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ถึงหูสำนักกระบี่วิญญาณแล้วหรือยัง ทว่าอนาคตของพวกเขาต้องเหมือนมีเงาดำมืดติดตามตัวตลอดเวลาแน่ๆ

สองผู้คุ้มภัยอยากจะพูดแต่ก็ลังเลอึกอัก เหวินเป่าเห็นดังนั้นจึงแอบทอดถอนใจ เขารู้ว่าพวกนั้นอยากแนะนำให้เขาขอโทษ เพียงแต่เขาเป็นถึงบุตรชายของราชครูที่มีสถานะสูงกว่าองค์ชายในประเทศชางหลางด้วยซ้ำ วันนี้หากต้องก้มหัวให้กับสาวบ้านนอกคนหนึ่ง เป็นเรื่องที่ยากจะรับได้!

เหวินเป่ายืนอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม สูดหายใจลึกสองสามครั้ง อารมณ์ของเขาค่อยๆ สงบลง ไม่คิดเรื่องอัปยศอดสูเมื่อครู่อีกต่อไป และก็ไม่แยแสต่อสายตาเยาะเย้ยที่เต็มไปด้วยเจตนามาดร้ายรอบทิศเหล่านั้น บรรดาเด็กหนุ่มสาวที่เกิดมาในตระกูลชนชั้นสูงเช่นเดียวกับเขาเหล่านั้น มักจะสร้างภาพให้ดูดีเสมอยามอยู่ในบ้านตัวเอง แต่เนื่องจากเวลานี้ไม่มีผู้อาวุโสดูแลสอนสั่ง ทำให้พวกเขากลายเป็นกลุ่มคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางศัตรูโดยที่คู่แข่งไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงสู้ด้วยซ้ำ!

เหวินเป่าเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นค้างอยู่เพียงแค่ชั่วกลั้นใจเดียวเท่านั้น

เนื่องจากเถ้าแก่เนี้ยที่อยู่หลังโต๊ะจ่ายเงินกำลังยิ้มอยู่เช่นเดียวกัน เป็นยิ้มที่จริงใจกว่าเขามาก และเป็นยิ้มที่มอบให้กับเด็กหนุ่มอายุสิบเอ็ดสิบสองรุ่นราวคราวเดียวกับเขาเช่นกัน เด็กหนุ่มคนนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่แสนเรียบง่ายและธรรมดา

“ได้จ๊ะ ห้องพิเศษหนึ่งห้อง โปรดรอสักครู่ ข้าจะให้คนเข้าไปจัดเตรียม”

ฉับพลันเหวินเป่าก็รู้สึกโกรธแค้นและเจ็บปวดราวกับคนถูกทรยศ ห้องพิเศษหนึ่งห้อง!? ไหนเมื่อครู่นางบอกว่าห้องเต็ม กระทั่งองค์ชายแห่งประเทศต้าหมิงยังต้องระเห็จไปนอนในห้องเก็บฟืนมิใช่รึ? ห้องพิเศษห้องนี้หมายความว่าอะไร? แต่คราวนี้ไม่ต้องรอให้เหวินเป่าออกตัว คนอื่นๆ ในห้องโถงต่างกล่าวออกมาอย่างโกรธแค้นไม่พอใจเช่นเดียวกัน “เถ้าแก่เนี้ย! หมายความว่าอย่างไร!?”

“ไหนท่านบอกว่าไม่มีห้องพิเศษ? นายน้อยของข้าจ่ายไปหลายพันตำลึงเงินแม้แต่ห้องเก็บฟืนก็ยังเข้าพักไม่ได้ เขามีสิทธิ์อะไรถึงพักห้องพิเศษได้!?”

“ต่อให้เป็นสำนักกระบี่วิญญาณ ท่านก็ควรมีเหตุผลสิ”

“เถ้าแก่เนี้ย อธิบายมาเดี๋ยวนี้นะ!”

ได้ยินเสียงโวยวายภายในห้องโถง รอยยิ้มที่มีไว้สำหรับอาชีพของเถ้าแก่เนี้ยก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก “โวยวายอะไร? ไม่อยากพักก็ไสหัวออกไปซะ! เจ้าคิดว่าข้าเต็มใจบริการขยะอย่างพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

กิริยาท่าทางอันร้ายกาจของเถ้าแก่เนี้ยสร้างความเดือดดาลให้กับบรรดาผู้คนทันที คล้ายจะมีเหตุการณ์จลาจลเกิดขึ้น ผู้หวังดีคนหนึ่งที่เป็นชาวบ้านในพื้นที่เดินผ่านมาแล้วยกนิ้วชี้ขึ้นไปที่ป้ายหน้าประตูโรงเตี๊ยมว่า “เจ้าพวกคนต่างถิ่น ถ้าตาไม่บอด ก็จงเบิ่งดูสักนิด”

ทันใดนั้นก็มีคนวิ่งปรี่ออกไปดู เห็นเพียงป้ายที่สลักคำว่า ‘โรงเตี๊ยมตระกูลหรู’ มีข้อความจารึกเป็นชื่อสลักไว้ตรงท้ายว่า ‘เฟิงอิ๋น’

คำว่า ‘เฟิงอิ๋น’ เป็นเพียงคำนามคำหนึ่งในวรรณกรรมเท่านั้น แต่หากเติมคำว่า ‘ปรมาจารย์แห่งเต๋า’ ไว้ด้านหลัง นั่นย่อมเป็นนามของบุคคลผู้กระเดื่องเกริกไกรและมีฐานะสูงที่สุดในโลกบำเพ็ญเซียน

สูงแค่ไหน? เขากระบี่วิญญาณสูงถึงเพียงนี้ ผู้ที่อาศัยบนยอดเขากระบี่วิญญาณย่อมต้องเป็นเจ้าสำนัก และคนผู้นี้ก็คือ ปรมาจารย์แห่งเต๋าเฟิงอิ๋น

เมื่อมีชื่อของเจ้าสำนักปกป้องคุ้มครอง บรรดาองค์ชายทั้งหลายพลันรู้สึกตัวหดเล็กลงทันที สีหน้าของคนพวกนี้สลดหดหู่ ไม่กล้าแสดงความไม่พอใจใดๆ ออกมาอีก

อย่างไรก็ตามเพลิงไฟแค้นในใจก็ยากจะมอดดับ ดังนั้นความเกลียดชังจึงย้ายไปรวมอยู่ที่ร่างของเด็กหนุ่มผู้ซึ่งกำลังลงทะเบียนอยู่ที่โต๊ะจ่ายเงิน เด็กหนุ่มหันศีรษะกลับไปราวกับรู้ตัวว่าถูกจ้องมอง เมื่อนั้นพวกเขาก็เห็นเพียงเด็กหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลา ดูมีราศีประหนึ่งหลุดพ้นจากคาวโลกีย์ สวมใส่ชุดคลุมผ้าไหม แม้จะไม่ได้หรูหราราคาแพง แต่กลับสะอาดสะอ้านเรียบร้อย ส่งเสริมให้เขาดูดีไม่แพ้ผู้อื่น

อย่างไรก็ตามหากพูดถึงบุคลิกภาพ บรรดาองค์ชายในที่นี้ด้อยกว่าเขาตรงไหน? และหลังจากที่ตะลึงงันไปชั่วครู่ อารมณ์โกรธก็เดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง

คิ้วของเด็กหนุ่มกระตุก รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มไม่ชอบมาพากล จึงกระแอมออกมาครั้งหนึ่ง

“เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเจ้าคิด” เว้นวรรคครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อไปว่า

“ข้ากับเถ้าแก่เนี้ยไม่ได้มีความสัมพันธ์ชู้สาวอะไรกันนะ!”

เมื่อประโยคถูกกล่าวออกไป ในหัวของทุกคนพลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา หรือเจ้าคนนี้กับเถ้าแก่เนี้ยผู้นั้นมีความสัมพันธ์ชู้สาวกันจริงๆ!?

คราวนี้ไฟแค้นของเหล่าองค์ชายก็มอดลงเล็กน้อย เพราะหากเป็นเรื่องชู้สาวจริงก็ช่วยไม่ได้แล้วล่ะ

เพียงแต่ใบหน้าของเถ้าแก่เนี้ยที่อยู่หลังโต๊ะจ่ายเงินยามนั้นกลับแดงก่ำ เดือดจัดราวกับภูเขาไฟปะทุ

ดีที่เด็กหนุ่มสาวเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว

“ในงานชุมนุมคัดเลือกเซียนครั้งนี้ เมืองธาราวิญญาณได้จัดกิจกรรมชิงรางวัลสำหรับแขกที่จะมาเข้าพัก ซึ่งหนึ่งในของรางวัลก็คือตั๋วเทียบเชิญเข้าพักของโรงเตี๊ยมตระกูลหรู”

กล่าวถึงตรงนี้ เถ้าแก่เนี้ยก็ยืนยันอีกเสียง “ก็เป็นเช่นนี้ล่ะ คนเขาได้รางวัลอย่างถูกต้องสง่าผ่าเผย ขยะไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้าก็จงหุบปากซะนะ”

ห้องโถงตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง ก็มีคนลุกขึ้นค้านว่า

“กิจกรรมของเมืองธาราวิญญาณบนใบปลิวที่แจกตรงประตูเมืองเขียนไว้อย่างชัดเจน และข้าก็อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว แต่ไม่เห็นเอ่ยถึงเรื่องตั๋วเทียบเชิญอะไรนั่นเลย”

อีกคนก็พูดเสริมว่า “รางวัลที่ท่านบอกทุกคนต่างได้รับมาแล้ว ซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าของที่ระลึกจำพวกไม้แกะสลัก และเครื่องรางคุ้มครอง ไม่เห็นเคยได้ยินว่ามีตั๋วเทียบเชิญ อีกอย่างในห้องโถงใหญ่นี้มีคนเป็นร้อย ไฉนจึงมีเพียงเขาคนเดียวที่ได้ตั๋วนั่น?”

ปัญหาพรรค์นี้ไม่อยู่ในสายตาของเถ้าแก่เนี้ยสักนิด นางเอียงศีรษะ เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยไปทางเสียงที่ไม่คุ้มค่ากับการเสวนาด้วย

ทว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นกลับอธิบายต่ออย่างมีน้ำอดน้ำทน “เพราะรางวัลนี้เป็นรางวัลลับที่ถูกซ่อนไว้อย่างไรล่ะ ไม่มีทางมอบให้พวกเจ้าตรงๆ”

องค์ชายผู้นั้นเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยเสียงเย้ยหยัน “เช่นนั้นเจ้าลองว่ามาสิ พวกเราต้องทำอย่างไรถึงจะได้รางวัลนั่น”

“อ๋อ ขั้นตอนมีอยู่ว่า ก่อนอื่นต้องไปคุยกับชายชราที่แจกใบปลิวตรงประตูเมือง ชายชราผู้นั้นจะเล่าเรื่องราวของเมืองนี้ให้เจ้าฟัง แล้วบอกให้ทราบเกี่ยวกับสิ่งที่ควรรู้ต่างๆ ในเมืองนี้ ไม่ว่าจะเป็นร้านสุรา โรงเตี๊ยม ร้านขายของชำเป็นต้น... ถึงตรงนี้ต้องอดทนฟังอย่างตั้งใจจนจบ ถึงจะไขปริศนาของด่านต่อไปได้”

ฟังถึงตรงนี้ บรรดาองค์ชายในห้องโถงก็ตกตะลึงเบิกตาอ้าปากค้าง ตาเฒ่าขี้บ่นพูดจาเลอะเทอะไม่รู้เรื่องที่แก่จนฟันร่วงหมดปากตรงประตูเมืองนั่นน่ะหรือ แค่ประตูเมืองก็แนะนำไปครึ่งกว่าชั่วยามแล้ว ใครจะไปมีแรงมีเวลาฟังแกเล่าเรื่องราวทั้งหมดของเมืองนี้กัน!?

แต่...ไม่มีประโยชน์ที่จะมาเสียใจอะไรตอนนี้

“ตอนนั้นข้าก็ฟังจนจบเหมือนกัน” บรรดาองค์ชายหันขวับไปยังต้นเสียง คนจำนวนไม่น้อยสูดหายใจเข้าด้วยความตกใจ เพราะพวกเขาจำได้ว่านั่นคือองค์ชายรองจากอาณาจักรอวิ๋นไท่แห่งแคว้นสายหมอก ‘ไห่อวิ๋นฟาน’

อาณาจักรอวิ๋นไท่เป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินเก้าแคว้น ส่วนไห่อวิ๋นฟานก็เป็นโอรสที่โดดเด่นที่สุดในบรรดารัชทายาททั้งหมด ตอนอายุ 10 ขวบ ผู้คนต่างเชื่อว่าสักวันเขาจะโค่นพี่ชายคนโตลงจากตำแหน่งรัชทายาท

ใครจะไปรู้ องค์ชายรองคนนี้กลับทิ้งอาณาจักร วิ่งมาแสวงหาความเป็นเซียนอมตะที่นี่!

ไห่อวิ๋นฟานกล่าวด้วยแววตาเคร่งขรึมจริงจัง “ข้าฟังเรื่องที่ชายชราเล่าจนจบ แต่ก็ไม่เห็นมีด่านต่อไป”

ได้ยินดังนั้นเด็กหนุ่มคนนั้นก็หัวเราะออกมา “ใครจะบอกด่านตอนต่อไปออกมาตรงๆ กัน? เจ้าต้องตรัสรู้เอง พอชายชราเล่าจบ ก็จะไอขึ้นมาสองสามที แล้วบอกว่าตนกระหายน้ำ ตอนนี้แหละเจ้าจะต้องเอาน้ำให้แกดื่ม”

ไห่อวิ๋นฟานฟังแล้วก็ได้แต่ส่ายศีรษะไปมา “ตอนนั้นข้าก็เอาน้ำให้เหมือนกัน”

เด็กหนุ่มกล่าวต่อ “หลังจากนั้นชายชราจะพูดว่า ดื่มน้ำแล้ว ก็รู้สึกหิวขึ้นมาแทน

ไห่อวิ๋นฟานเอ่ย “ใช่ ดังนั้นข้าจึงให้คนรับใช้ของข้านำอาหารแห้งที่ติดมาด้วยแบ่งให้แกส่วนหนึ่ง”

เด็กหนุ่มบอก “แกจะเอ่ยขอบคุณ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้กินอย่างมีความสุข”

ไห่อวิ๋นฟานขมวดคิ้วถาม “...หลังจากนั้นล่ะ?”

“หลังจากนั้นก็ต้องถาม ถามไปว่าเหตุใดจึงดูไม่มีความสุข ไม่พอใจอะไรหรือ? ชายชราจะตอบกลับมาว่า ไม่ได้ไม่พอใจ เพียงแค่นึกถึงขนมพันชั้นของร้านหลิวจี้ตรงประตูตะวันออกเท่านั้น”

“จากนั้น... ก็ต้องซื้อขนมพันชั้นให้แกหรือ? แกถึงจะมอบตั๋วเทียบเชิญให้เจ้า?”

“มันง่ายขนาดนั้นซะที่ไหนเล่า จากนั้นต้องไปที่ร้านติ่มซำหลิวจี้ เจ้าของร้านจะบอกเจ้าว่าขนมพันชั้นหมดแล้ว แต่จงถามต่อไป แล้วเจ้าจะรู้ว่าเถ้าแก่ร้านน้ำชาเหมาขนมพันชั้นไปในปริมาณสำหรับสิบคน จากนั้นให้ตรงไปยังร้านน้ำชา เจ้าจะเห็นเถ้าแก่กำลังง่วนอยู่กับการเล่นหมากล้อมกับแขก ตอนนี้อย่าเพิ่งนำเรื่องขนมพันชั่งไปรบกวนเถ้าแก่ ต้องแอบยืนเอาใจช่วยให้แกชนะอย่างเงียบๆ เจ้าก็จะได้ขนมพันชั้นมาหนึ่งชิ้นโดยที่ไม่ต้องเสียเงินสักอีแปะ นำขนมพันชั้นนี้ไปให้ชายชราตรงประตูเมือง แล้วชายชราจะมอบจดหมายแนะนำแก่เจ้าฉบับหนึ่ง นำจดหมายแนะนำไปหาผู้ว่าการประจำเมือง ผู้ว่าการจะให้เจ้ารวบรวมข้อมูล...จากนั้นไปที่ร้านตัดเย็บ...แล้วค่อยไปนอกหมู่บ้าน...และหลังจากนั้น...และท้ายสุด ให้นำแหวนทองแดงมอบให้กับชายชราที่ประตูเมือง เจ้าก็จะได้รับตั๋วเทียบเชิญนี้อย่างไรล่ะ”

……

กล่าวจบภายในห้องโถงก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด เหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นถี่เร็วของบรรดาองค์ชายเท่านั้น

พวกเขาล้วนต่างที่มา จากเหนือจรดใต้จากฟากฟ้าจรดทะเลสีคราม มีสถานะสูงส่ง แม้ว่าอายุจะน้อย แต่ล้วนเคยได้ฟังได้เห็นเรื่องราวต่างๆ มามายมายนับไม่ถ้วน แต่พอได้ยินเรื่องที่มาของตั๋วเทียบเชิญที่เด็กหนุ่มคนนั้นเล่า กลับทำได้เพียงแค่รู้สึกทึ่งเหลือจะกล่าว

หากจะบอกว่าตั๋วเทียบเชิญใบนี้คือแผนการณ์ที่เมืองธาราวิญญาณเจตนาสร้างขึ้น ผู้ออกแบบคนนั้นต้องเป็นคนโง่เง่าอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องมีอาการป่วยทางสมอง  ขั้นตอนอันสุดแสนซับซ้อนที่ทำให้คนโมโหจนผมชี้ตั้งแบบนี้ใครมันจะไปนึกออก? แม้กระทั่งคนที่ฉลาดและละเอียดอ่อนอย่างไห่อวิ๋นฟานยังมีปัญญาเดินไปถึงแค่ด่านที่สองเท่านั้น แล้วหนทางข้างหน้าอย่างน้อยก็ยังเหลืออีกสิบกว่าด่านรอให้พิชิต! ยิ่งไปกว่านั้นแต่ละด่านก็ยังประหลาดพิสดารคาดคิดไม่ถึงยิ่งกว่าด่านก่อนหน้าอีก!

และสมองของเด็กนั่นก็ไม่ใช่สมองของคนปกติเหมือนกัน เพื่อตั๋วเทียบเชิญใบนี้แล้ว อย่างน้อยเขาก็ต้องวิ่งวุ่นไปทั่วเมืองทั้งวัน! ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีใครบอกเขาสักคนว่าหากยืนหยัดทำต่อไปจนจบจะมีรางวัลให้ในตอนท้าย! เขามีเหตุผลอะไร เหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้น?

แม้กระทั่งไห่อวิ๋นฟานเองก็ยังอดถามออกไปไม่ได้ว่า “เจ้ารู้เรื่องพวกนี้มาก่อนรึ?”

เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว “ทำไมต้องรู้มาก่อน? เมื่อเห็นภารกิจใหญ่วางอยู่ตรงหน้า นักผจญภัยที่มีมาตรฐานล้วนต้องเดินไปให้ตลอดจนถึงสุดทาง!”

กล่าวจบก็หมุนตัวเดินขึ้นชั้นสองตามหลังเด็กรับใช้ของโรงเตี๊ยมไปอย่างสง่างาม

ไห่อวิ๋นฟานขมวดคิ้วมุ่น น้ำเสียงของเด็กหนุ่มช่างเรียบง่ายไร้กังวล ประหนึ่งว่าคงมีแต่คนปัญญาอ่อนเท่านั้นที่ไม่เข้าใจ ซึ่ง... เขาก็ไม่เข้าใจจริงๆ

ทว่าตั๋วเทียบเชิญใบนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป เพราะสิ่งที่น่าสนใจตอนนี้คือ เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครมาจากหลุมไหน?

ยามนี้เด็กหนุ่มสาวผู้มีพรสวรรค์ต่างรวมตัวกันที่เมืองธาราวิญญาณ ทว่าเมื่อคนมีชื่อเสียงหรือความสามารถพิเศษโผล่ออกมา คลังสมองของไห่อวิ๋นฟานจะมีข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมด แต่เด็กหนุ่มตรงหน้านี้กลับไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ว่ากันตามตรง เฉพาะแค่ความคิดแปลกพิสดารที่คาดไม่ถึงของเขานี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาไร้ชื่อเสียงคนใดจะมีกัน... คิดถึงตรงนี้ไห่อวิ๋นฟานก็ยิ่งรู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างลึกลับและไม่อาจคาดเดาอะไรได้ จะว่าไปคนที่ได้รับข่าวสารงานชุมนุมครั้งนี้ นอกจากลูกหลานของผู้มีฐานะอำนาจใหญ่โตแล้ว ก็มีเพียงบุตรธิดาของตระกูลผู้ฝึกเซียนเท่านั้น หรือว่า...?

ไห่อวิ๋นฟานยืนอยู่ห่างจากโต๊ะจ่ายเงินไม่มากนัก ลอบชำเลืองไปยังสมุดลงทะเบียน เห็นชื่อของคนผู้นั้นเข้าพอดิบพอดี

“หวังลู่...? ไม่เคยได้ยินมาก่อนแฮะ”

“หวังลู่?”

ภายในห้องโถงยังมีคนปักหลักอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย ดังนั้นชื่อของหวังลู่จึงแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วผ่านการกระซิบกระซาบ

“ตระกูลหวังจากแผ่นดินทางตอนใต้นั่นหรือ? ได้ยินมาว่าคนในตระกูลนั้นแปลกแยกพิสดาร แต่ก็ดูสมดี”

“เป็นไปไม่ได้ ได้ยินมาว่าแผ่นดินทางตอนใต้กับสำนักกระบี่วิญญาณมีความแค้นต่อกัน ตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนไม่มีทางปล่อยให้ลูกหลานจากแคว้นนั้นกราบเข้ามาเป็นศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณแน่นอน”

“หรือจะเป็นตระกูลหวังจากสำนักเซียนเซิ่งจิง”

“มีสำนักเซียนเซิ่งจิงอยู่แต่ไม่ไป เหตุใดจึงอยากเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณ? แม้ว่าสำนักเซียนเซิ่งจิงจะไม่ได้จัดงานชุมนุมคัดเลือกเซียนนานมากแล้วก็ตาม แต่หากลูกหลานตระกูลหวังแห่งเซิ่งจิงอยากเข้าสำนักย่อมไม่ใช่เรื่องยาก”

“เฮ้อ พวกเจ้าวิเคราะห์เรื่องของเขา แต่ยังไม่รู้เลยว่านามที่เขาใช้อยู่เป็นนามจริงหรือไม่เนี่ยนะ”

“...”

..............................................

 

[1]   อบายมุขทั้งสี่ คือ สุรา กาเม การพนัน และสิ่งเสพติด

[2] ชาเป็นหน่วยนับเวลาของจีน หนึ่งถ้วยชา = 1 นาที

[3] เจ้าสำนักพูดว่า 升仙  Sheng Xian หมายถึงการบำเพ็ญฝึกฝนจนกลายเป็นเซียน ส่วนศิษย์น้องห้าพูดคำว่า生鲜  Sheng Xian ความหมายดิบและสด สองคำนี้อ่านออกเสียงเหมือนกัน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด