ตอนที่แล้วตอนที่ 239 บุกถึงถิ่นของศัตรู
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 241 แดนต้องห้ามทั้งสี่

ตอนที่ 240 เหยียบหน้า และบังคับให้ถอย (ฟรี)


ตอนที่ 240 เหยียบหน้า และบังคับให้ถอย

ซูหยางยิ้มเล็กน้อย และกล่าวว่า "ตอนแรกข้ามีความคิดที่จะทำลายวังเพลิงสุริยัน แต่เมื่อลองอนุมานดู เหมือนดูพวกเจ้าจะสมบัติที่เรียกว่า ‘เกราะกุยเซิน’ อยู่ในมือ นั้นทำให้เป็นไปได้ยากที่จะตำตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ได้"

เมื่อได้ยิน เสิ่นอี้ตกตะลึง

อนุมานงั้นเหรอ?

"ฮ่าๆๆ... ใครก็ตามที่ให้ความสนใจกับวังเพลิงสุริยันย่อมรู้ว่าเรามีเกราะกุยเซินอยู่ในมือ ไม่จำเป็นต้องอนุมานดูก็ได้"

“ดูเหมือนเจ้าจะพยายามทำให้ข้ากลัว แต่การแสดงของเจ้ายังไม่ดีพอ”

โดยธรรมชาติแล้ว เสิ่นอี้ไม่เชื่อคำพูดของซูหยาง

หากต้องการอนุมานถึงเกราะกุยเซินของวังเพลิงสุริยัน อย่างน้อยเจ้าต้องมีเชี่ยวชาญพลังแห่งกรรมถึงระดับอมตะหมื่นเต๋า

การฝึกฝนพลังแห่งกรรมถึงระดับนั้นยากกว่าการบ่มเพาะ

แม้แต่ในหมู่กองกำลังที่อยู่ภายใต้ธงของปราชญ์ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้

ซูหยางไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเชื่อเขาหรือไม่ มันไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องสนใจ

เมื่อไม่อาจทำลายอีกฝ่ายจนสิ้นซากได้ จุดประสงค์ใหม่ที่เขามาที่นี่ตอนนี้คือเพื่อแสดงความแข็งแกร่ง และป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายมารบกวนเขาเหมือนแมลงวัน

“ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม นั่นก็เป็นเรื่องของเจ้า ข้ามาที่นี่เพื่อจุดประสงค์เดียวเท่านั้นคือให้เจ้ารู้ที่ๆ ควรอยู่ เลิกแล้วต่อกันไป แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้าได้มีชีวิตอยู่”

"ฮึ่ม!"

“ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้เจ้าหย่อหยิ่งได้ถึงขนาดนี้!”

“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าข้า!”

เสิ่นอี้ไม่สามารถแบกรับอับอาย และเพิกเฉยต่อคำพูดของซูหยางได้อีกต่อไป

เขาจึงฟาดฝ่ามือออกไปเพื่อเปิดฉากโจมตี

ฝ่ามือยักษ์ที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงมุ่งตรงไปหาซูหยาง

พลังของฝ่ามือนี้ทรงพลังอย่างยิ่ง หากเป็นอมตะร้อยเต๋าจะถูกความร้อนแผดเผา และจะกลายเป็นกองขี้เถ้าล่องลอยหากถูกสัมผัสเพียงเล็กน้อย

ระลอกคลื่นปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าเมื่อฝ่ามือเคลื่อนไหวผ่าน และมีความเป็นไปได้ที่จะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ

คลื่นพลังอันยิ่งใหญ่ถูกปลดปล่อยออกมา และแผ่ออกไป

ครึ่งหนึ่งของท้องฟ้าถูกบังคับให้เปลี่ยนสี

ความร้อนอบอวลไปทั่วพื้นที่หลายพันลี้

กลับกันซูหยางยังคงมองอย่างเฉยเมย และเหวี่ยงดาบออกไปอย่างใจเย็น

ลมหายใจต่อมา ดาบเพลิงดาราปรากฏขึ้นด้านหลังซูหยาง พุ่งทะยานไปข้างหน้าราวกับตัดจักรวาลออกเป็นสอง ครอบครองอีกครึ่งหนึ่งของท้องฟ้าเอาไว้

การโจมตีของทั้งสองฝ่ายปะทะกันกลางอากาศ ซูหยางเพียงแค่โจมตีออกไปอย่างไม่ส่ใจ แต่การโจมตีของเขาก็ยับยั้งการโจมตีของเสิ่นอี้เอาไว้ได้

ที่เป็นแบบนี้ได้ก็เพราะสถานการณ์ของซูหยางนั้นพิเศษมาก ทุกการโจมตีที่ของเขาเทียบได้กับการโจมตีเต็มกำลัง ไม่มีใครที่จะทำแบบเดียวกันได้

การโจมตีจากทั้งสองฝ่ายยังคงถูกปลดปล่อยออกมา และปะทะกัน และในที่สุดก็ระเบิดกลางอากาศด้วยเสียงดังปัง

พลังอันมหาศาลทำให้เกิดรอยแตกร้าวปรากฏขึ้นกลางอากาศในช่วงเวลาสั้นๆ

พื้นที่ถูกทำลายอย่างกะทันหัน และความปั่นป่วนก็หลั่งไหลออกมาจากรอยแตก พยายามดึงทั้งสองคนเข้าไป แต่พวกเขาก็ไม่ได้เคลื่อนออกจากจุดที่ยืนอยู่แม้แต่น้อย

ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้อันดุเดือดครั้งแรกระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงจบลงด้วยการเสมอ

"เจ้าก็แข็งแกร่งใช้ได้"

“แต่นั้นยังไม่มากพอ!”

เสิ่นอี้แสดงความคิดเห็นแบบไม่เป็นทางการ จากนั้นใช้ทักษะที่ทรงพลังยิ่งขึ้น

พลังปราณหลั่งไหลไปทั่วร่างกายของเขา และกฎที่เขาเข้าใจก็รวมตัวกันในความว่างเปล่า สุดท้ายก็ควบแน่นเป็นภูตเพลิงที่มีขนาดหลายพันฟุต

พลังของภูตเพลิงตนนี้แข็งแกร่งมาก เพียงรูปลักษณ์ของมันก็ทำให้ผู้ฝึกฝนของวังเพลิงสุริยันด้านล่างรู้สึกกดดันอย่างหนัก และร่างของพวกเขาก็สั่นสะท้าน

แคร็ก แคร็ก แคร็ก

รอยแตกที่แต่เดิมปรากฏในความว่างเปล่าเริ่มแพร่กระจายไปพร้อมกับการปรากฏตัวของภูตเพลิง

“มา ข้าอยากจะดูสิว่าเจ้าจะสามารถป้องกันการโจมตีของข้าได้หรือไม่!”

"ฆ่า!"

เสิ่นอี้ควบคุมภูตเพลิงให้พุ่งเข้าหาซูหยางด้วยจิตสังหาร

ซูหยางยืนอยู่กลางอากาศอย่างสงบ และวินาทีต่อมาข้างหลังเขา ดาบเพลิงดาราที่ยาวหลายพันฟุตก็ปรากฏขึ้นทีละเล่ม

“ธารแห่งดาบ ฆ่า!”

ทันทีที่เขาพูดจบ ดาบเพลิงดาราที่ล่องลอยอยู่ด้านหลังของซูหยางก็พุ่งไปข้างหน้าราวกับจรวด

เมื่อใดก็ตามที่ดาบเพลิงดาราผ่านไป ความว่างเปล่าก็กระเพื่อม

พื้นที่เรียบจะมีลักษณะเป็นคลื่น และเป็นรอยย่น ราวกับว่ากระดาษแผ่นเรียบถูกถู

หากคลื่นพลังที่ปลดปล่อยออกมาจากดาบเพลิงดารานั้นมากกว่านี้อีกเล็กน้อย พื้นที่นั้นจะถูกฉีกออกจากกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดาบเพลิงดาราจำนวนมากฟาดฟันเข้าหาภูตเพลิงของเสิ่นอี้

บูม บูม บูม…

การปะทะ การระเบิด และคลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวปะทุขึ้น และแผ่ออกไปอย่างต่อเนื่อง

เมื่อปะทะกัน พลังของดาบเพลิงดาราของซูหยางนั้นอ่อนแอกว่าเล็กน้อย และมันก็ถูกภูติเพลิงทำลาย

โชคดีที่มีดาบเพลิงดาราจำนวนมาก หากเล่มหนึ่งถูกทำลาย ดาบเล่มต่อไปก็จะพุ่งไปข้างหน้า และจะได้รับความได้เปรียบในช่วงเวลาสั้นๆ

ภาพในสนามรบในเวลานี้ทำให้ทุกคนที่เห็นต่างตกใจ!

ในวังเพลิงสุริยัน ผู้ฝึกฝนหลายคนอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า

“นี่…เจ้าวังกำลังเสียเปรียบ และจะพ่ายแพ้โดยอมตะหมื่นเต๋าขั้นกลาง?”

“เจ้ากำลังพูดบ้าอะไร? เจ้าวังยังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ ไม่งั้นแค่อมตะหมื่นเต๋าขั้นกลางจะเป็นคู่ต่อสู้ของท่านได้อย่างไร!”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งจ้องมองคนที่เพิ่งพูด และพูดอย่างเคร่งขรึม

เขาพูดขึ้นรักษาขวัญกำลังใจของคนอื่นๆ แต่ในความเป็นจริง เขาตกใจมากยิ่งกว่า เพราะเขาแข็งแกร่งกว่าจึงรับรู้ได้มากกว่าคนอื่นๆ ว่าเสิ่นอี้กำลังถูกปราบปราม และถูกทุบตีจริงๆ

อมตะหมื่นเต๋าขั้นสูงอย่างเสิ่นอี้กำลังถูกร่างโคลนของศัตรูที่เป็นเพียงอมตะหมื่นเต๋าขั้นกลางสะกดข่ม!

อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่?

กลางอากาศ เสิ่นอี้ก็ตกใจไม่น้อยไปกว่าคนอื่นของวังเพลิงสุริยัน

ขณะที่พวกเขาต่อสู้กัน เขาสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ

"เจ้า!"

“ทุกการโจมตีของเจ้าคือ การโจมตีเต็มกำลัง?”

เมื่อรับรู้ได้ถึงสิ่งนี้ ดวงตาของเสิ่นอี้ก็เต็มไปด้วยความจริงจัง ความรู้สึกผ่อนคลายในตอนแรกหลายไปจนหมดสิ้น

ซูหยางในเวลานี้สมควรได้รับความสนใจอย่างเต็มที่

ไม่ว่าซูหยางจะมีความลับอะไร เขาจะต้องไม่มองข้ามความสามารถนี้อย่างไม่ใส่ใจ

แต่ในแดนอมตะอันกว้างใหญ่ เป็นเรื่องปกติที่จะมีบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ เขาไม่จำเป็นต้องตกใจเกินไป เขาแค่ต้องหาทางรับมือ

“แล้วมันมีปัญหาอะไรงั้นเหรอ?” ดาบเพลิงดาราพุ่งทะยานออกมาจากด้านหลังซูหยางทุกวินาที

ซูหยางเพียงแค่ขยับนิ้ว และเหวี่ยงดาบเพลิงดาราออกมาทีละเล่ม ก่อให้เกิดธารแห่งดาบที่น่าสะพรึงกลัว

“ในเมื่อเจ้าคิดว่าข้าหยิ่ง ข้าจะให้เจ้าเห็นว่าข้ามีพลังพอที่จะหยิ่งหรือไม่”

ซูหยางมีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า เขายืนอยู่กลางอากาศ เผชิญหน้ากับการโจมตีที่ดุเดือดและไม่มีที่สิ้นสุด โดยไม่แม้แต่จะขยับร่างกายแม้แต่น้อย

ไม่ว่าจะคลื่นพลัง หรือคลื่นกระแทก เขาจะจัดการกับมันอย่างใจเย็น

การแสดงออกของเสิ่นอี้ค่อยๆ จริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ

ความแข็งแกร่งของซูหยางเกินความคาดหมายของเขา มันทรงพลังเกินไป และเห็นได้ชัดว่าเกินความสามารถของเขาที่จะรับมือได้ อย่างน้อยก็เป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะฆ่าซูหยาง

ส่วนซูหยาง แม้จะชนะเขาได้ แต่อีกฝ่ายไม่สามารถทำลายวังเพลิงสุริยันได้

หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กันอีกต่อไป มันไร้ความหมาย

เขาจึงทำได้แค่ยอมรับความจริงด้วยใบหน้าที่สงบ

“เจ้าแข็งแกร่งมากจริงๆ งั้นเราก็เลิกแล้วต่อกันเพียงเท่านั้น”

ในช่วงเวลาต่อมา ลมพัดผ่านเมฆ ความว่างเปล่าก็ผสานรอยร้าว ทุกสิ่งตกอยู่ในความเงียบ

การโจมตีจากทั้งสองฝ่ายที่เคยรุนแรง หายไปอย่างไร้ร่องรอยในเวลาเดียวกัน เป็นการควบคุมพลังที่แม่นยำอย่างยิ่ง

หลังจากที่เสิ่นอี้พูด ก็ถือว่าซูหยางก็บรรลุเป้าหมายแล้ว และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กันอีกต่อไป

ตอนนี้เขาไม่สามารถทำลายวังเพลิงสุริยันได้ และเขาไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับคนที่อีกฝ่ายส่งมา ดังนั้นแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

“ตกลงตามนั้น”

ซูหยางฉีกมิติ และจากไปโดยตรง

เสิ่นอี้รู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง

อีกฝ่ายไม่เพียงทำลายเมือง และสังหารคนของเขาเท่านั้น แต่ยังมาถึงหน้าประตูเพื่อบังคับให้สงบศึก

แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งน้อยเกินไป และเขาก็อยากถูกทำให้อับอายอีก หากยังดึงดันต่อไป และไม่สามารถจัดการอีกฝ่ายลงได้

โลกแห่งการบ่มเพาะก็เป็นเช่นนี้ ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่ง หากเจ้าไม่แข็งแกร่งพอ เจ้าจะถูกทุบตี หากถูกรังแกก็จำต้องอดทน

"มนุษย์... ข้าจะจำเรื่องนี้เอาไว้"

เสิ่นอี้กัดฟัน และยอมรับความจริงได้ในที่สุด

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด